โดยทั่วไป เราเชื่อกันว่า คนที่เรียนเก่งมักจะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เมื่อมองย้อนไปถึงเพื่อนๆที่ร่ำเรียนกันมาตั้งแต่สมัยประถม มัธยม เด็กท้ายห้อง เพื่อนที่เรียนไม่เก่ง ถูกครูดุเป็นประจำ กลับได้ดิบได้ดีมีเงินทองมากกว่าพวกเรียนเก่งแถวหน้าหลายๆคน แต่เพื่อนที่เรียนเก่งด้วยแล้วก็ประสบความสำเร็จด้วย ก็มีหลายคน บทความนี้ขอเขียนถึงชีวิตของเด็กเรียนเก่งคนหนึ่ง ที่ตอนนี้กำลังเป็นทุกข์เพราะ เขารู้สึกว่าตัวเขาเองไม่ประสบความสำเร็จเลย ในขณะที่เพื่อนๆที่สมัยเรียน เรียนสู้เขาไม่ได้ ตอนนี้กลายเป็นเจ้าคนนายคน กลายเป็นเจ้าของกิจการ กลายเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มียศ มีเกียรติ แต่นักเรียนเก่งที่สุดของห้องอย่างเขา ตอนนี้ได้แต่ถีบรถเข็นขายกาแฟไปวันๆ มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
สมมติว่าเขาชื่อกิม กิมเป็นเด็กเรียนดีมาตั้งแต่สมัยประถม มัธยม และเขาเป็นเด็กนักเรียนเพียงคนเดียวของโรงเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในเมืองกรุงได้ เมื่อเป็นเด็กที่เรียนเก่ง กิมจึงตั้งเป้าหมายชีวิตไว้สูง เขาเลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรม เขาอยากเป็นเด็กศิลป์ที่ดูดีมีรสนิยม เขาหลงใหลงานศิลปะ ทั้งๆที่ ศิลปะนั้นเหมาะกับคนชั้นสูง เหมาะกับคนที่มีอันจะกินแล้ว ถึงจะมีเงินมาเสพศิลป์ได้ เมื่อเรียนจบปริญญาตรี เขาศึกษาต่อปริญญาโททันที เพราะอยากมีวุฒิปริญญาโทที่ดูเหนือกว่าเพื่อนๆ เมื่อเรียนจบไปสมัครงานเป็นสถาปนิก ทำงานได้ 1 เดือน ก็ถูกเชิญให้ออกจากงาน เพราะเขามีอารมณ์ที่เป็นศิลปินมากเกินไป ไม่สนใจความต้องการของลูกค้า
จากนั้นเขาตั้งใจว่าจะตั้งบริษัทออกแบบเป็นของตัวเอง ด้วยเชื่อว่าตนเองเรียนเก่งมีความสามารถ เขาล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายปี ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถตั้งบริษัทของตัวเองได้ เพราะเขามีแต่จินตนาการ เขาไม่เคยผ่านปัญหา ไม่เคยผ่านความยากลำบาก และที่สำคัญเขาเป็นคนสมบูรณ์แบบ เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีใหม่ๆมาแทนที่ความรู้ที่เขามี เขากลายเป็นคนล้าหลังของวงการไปเสียแล้ว และเริ่มยอมรับว่าเขาคงเอาดีทางศิลปะไม่ได้
จนวันหนึ่งเขาได้รู้จักตลาดหุ้น เขาชอบมันทันที เพราะรู้สึกว่าคนเล่นหุ้นนั้นรวย เท่ห์ เขาจึงหันมาทุ่มเทศึกษาเรื่องหุ้นอยู่เป็นเวลาหลายปี เขาบอกว่าการซื้อขายหุ้นเป็นงานในฝันของเขา ไม่ต้องมีหัวหน้า ไม่ต้องมีคนมาคอยบังคับ ไม่ต้องตื่นเช้าฝ่ารถติดไปทำงาน และมีเวลาว่างมากมายให้เขาได้ใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถซื้อขายหุ้นได้ แต่จนแล้วจนรอด ตลาดหุ้นก็ไม่สามารถตอบโจทย์ความฝันของเขาได้ ตอนอายุ 40 ปี เขายังคงอาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่เปิดห้องแถวขายข้าวแกง ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเขาก็ได้มาจากการแบมือขอพ่อแม่นั่นเอง ด้วยความที่เขาเป็นคนไม่ยอมแพ้ และมั่นใจว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เขาได้แต่คิดและฝันเฟื่องถึงธุรกิจแปลกๆใหม่ๆที่ยังไม่มีคนทำ เขาพยายามใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อจะไปต่อยอดทางการค้า แต่เขาก็ล้มเหลว
เมื่ออายุมากขึ้น ถึงเกณฑ์ที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว เขาตัดสินใจแต่งงานกับข้าราชการสาวสวย มีลูกด้วยกัน 1 หนึ่ง เขายังไม่ละความพยายามในการเล่นหุ้นรวมทั้งคิดหาธุรกิจใหม่ๆ ที่มีภาพพจน์สวยหรู แต่เขาไม่เคยทำสำเร็จ เพราะเขาได้แต่อ่านหนังสือ แล้วก็คิดว่าตัวเองจะทำได้แบบคนที่เขียนหนังสือบ้าง เขาไม่ยอมไปทำงานเป็นลูกน้อง เพราะเขาคิดว่า เขาเป็นคนเรียนเก่ง มีความสามารถ เขาจะไม่เป็นลูกน้องของใคร จนวันหนึ่งแม่เขาได้เสียชีวิตลง แหล่งเงินของเขาพังทลายไปแล้ว เขาประกาศไม่ยอมรับกิจการข้าวแกงต่อจากแม่ เพราะเห็นว่าเป็นงานที่ต่ำต้อย คนเก่งอย่างเขาต้องเป็นเจ้าของบริษัท ชีวิตของเขาจะต้องดูดี แวดล้อมไปด้วยรสนิยมทางศิลปะ
ในท้ายที่สุด เขาก็ทำไม่ได้ เวลาที่เสียไป 20 -30 ปี ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเลย เขาไม่เคยหาเงินหมื่นเงินแสนได้เองเลยสักครั้งเดียว เมื่อลูกต้องกิน แม่ตัวเองก็ไม่อยู่แล้ว แฟนก็มีรายได้ไม่มาก เขาจึงตัดสินใจมาถีบรถเข็นขายกาแฟ เขาเพิ่งรู้รสชาติของการหาเงินเอง เขาเพิ่งเห็นคุณค่าของเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรง แต่อย่างไรก็ตาม เขาดูเป็นคนอมทุกข์ เพราะยอมรับไม่ได้ว่า เด็กเรียนเก่ง จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอย่างเขา ตอนนี้เป็นได้แค่คนขายกาแฟหาเช้ากินค่ำ พอกินอยู่เป็นครอบครัวเล็กๆไม่มีเงินเก็บต้องใช้และกินอย่างประหยัด เขาคิดเสมอว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาขอเป็นเด็กเรียนไม่เก่งแต่มีเงินน่าจะดีเสียกว่า