“หากเราไม่มีหนี้ เราก็จะไม่มีอะไรเลย” นี้คือคำกล่าวที่ผมได้ฟังจากรุ่นพี่ในแผนก สมัยที่ผมเริ่มทำงานในบริษัทแรก ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจในเรื่องการออมมากนักแต่เป็นคำสอนจากประสบการณ์ที่ดูแปลก โดยมีหลายคนสอนผมว่า “ไม่มีเงินเก็บไม่เป็นไร ให้ซื้อของเอาไว้ ถึงไม่มีเงินเก็บแต่อย่างน้อยเราก็ยังมีของนะ ให้ซื้อของเก็บแทนเงินพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า ทีวี ตู้เย็น เครื่องเสียง รถยนต์ ซื้อไปเถอะถือว่าเป็นการเก็บ จำคำพี่ไว้ คนเรานะไม่คิดจะมีหนี้เอ็งก็จะไม่มีอะไรเลย” หลายปีผ่านไปผมพบว่าของเหล่านี้มูลค่าลดลงเกินครึ่งจากในราคาที่ซื้อมา เดือนร้อนก็ไม่สามารถนำไปขายแลกเงินได้เลย เป็นสินทรัพย์ที่เสื่อมราคาอย่างรวดเร็วและสภาพคล่องต่ำมาก
โทรศัพท์เครื่องแรกในชีวิตการทำงานของผมเริ่มจากการเก็บเงินเอง โดยที่ผมใช้เวลาอยู่หลายเดือนกว่าจะได้โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ที่ซื้อด้วยเงินเดือนที่เป็นเงินเก็บ ซึ่งกว่าจะได้ซื้อมันก็ใช้เวลานานเหลือเกินครับจนรุ่นที่ผมมองไว้ตกรุ่นไปไกลกว่าจะเก็บเงินซื้อมาได้ ผมจึงเริ่มที่จะถามคนรอบข้าง เช่น เพื่อนร่วมงาน ว่าเขาทำอย่างไรกันถึงจะซื้อของที่อยากได้ไวๆ คำตอบที่ผมได้เหมือนกับคำตอบที่ได้รับในการทำงานเดือนแรก คือ คำแนะนำให้ผ่อนนั้นเอง ซึ่งในสมัยนั้นบัตรเครดิตยังไม่ใช้เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เหมือนในปัจจุบันอีกทั้งฐานเงินเดือนผมไม่ถึง 15,000 บาทและอายุงานยังไม่ถึง 6 เดือนด้วยซ้ำ จึงไม่สามารถผ่อนอะไรได้เหมือนคนอื่นๆ
อ่านเพิ่มเติม : เคยคิดหรือเปล่า เงินของคุณหายไปไหน ?
จนถึงเวลาที่โทรทัศน์ที่ผมใช้มาตั้งแต่สมัยเรียนเริ่มพัง นั้นคือ จุดเปลี่ยนครับ ด้วยความที่ผมขี้เกรงใจและยังเป็นเพียงพนักงานใหม่ การจะยืมบัตรเครดิตใครจึงเป็นเรื่องยากที่จะเอ่ยปากขอยืม ผมจึงได้ลองปรึกษาพี่ๆ ที่ทำงานที่มีอายุงานมากกว่าดู จึงได้รับการแนะนำให้ผ่อนโดยไปขอผ่อนกับร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าเอง ด้วยความอยากได้และการไม่มีโทรทัศน์ถือว่าเหงามากๆ ผมจึงคิดว่าผ่อนก็ผ่อนเป็นไงเป็นกันจึงให้พี่ในแผนกพาไปลองดู ผลออกมาว่าได้ โทรทัศน์ราคาตามป้าย 3,000 กว่าบาทแต่ต้องผ่อนเดือนละ 700 บาท นานถึง 12 เดือน รวมแล้วก็เท่ากับต้องจ่ายไป 8,000 กว่าบาท กว่าจะผ่อนหมด(สมัยนี้อาจไม่ค่อยมีแล้ว) นั้นคือการผ่อนครั้งแรกของผมที่จำได้ฝังใจถึงดอกเบี้ยมหาโหดและไม่มีวันลืมแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว
สิ่งที่ผมอยากจะบอกเล่าก็คือการเป็นหนี้ในสมัยก่อนนั้นยากลำบากครับ กว่ามนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งจะสามารถเป็นหนี้ได้ แต่ในปัจจุบันการเป็นหนี้และการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ง่ายกว่ากันมากไม่ว่าจะเป็น บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินมีให้เราเป็นหนี้มีเยอะแยะมากกว่าสมัยก่อน โดยที่เราไม่ต้องดิ้นรนเลยแค่เราเป็นมนุษย์เงินเดือนนั่งทำงานอยู่เฉยๆ ในเกือบทุกวันก็จะมีบริษัทที่ให้บริการด้านสินเชื่อก็โทรมาหาเราไม่เว้นแต่ละวัน การเข้าถึงการเป็นหนี้จึงกลายเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เราเคยคิด และในหลายๆ ข้อเสนอด้านการเป็นหนี้ก็น่าสนใจ เช่น การผ่อน 0% การสะสมแต้ม
ส่วนลดต่างๆ ล้วนแต่ดึงดูดใจให้เราเป็นหนี้และหากเราไม่มีวินัยทางการเงินที่ดีพอมันจะทำให้เราเข้าสู่วังวนการเป็น หนี้สิน ไม่รู้จบ
สิ่งที่ผมได้พบเจอมาคือสังคมที่แข่งขันด้านวัตถุนิยมยกตัวอย่างเช่น หากเพื่อนในแผนกเรามีโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ไม่ช้าไม่นานคนอื่นๆ ก็จะเริ่มมีมือถือเครื่องใหม่ด้วยเช่นกัน นานหลายปีที่ผมทำงานในบริษัทแรกชีวิตทุกคนดูเหมือนชีวิตมนุษย์เงินเดือนทั่วไปดูมีความสุข มีบ้าน มีรถ กินอาหารบุฟเฟ่ต์ จนวันหนึ่งเพื่อนเริ่มงานบางคนเริ่มมีจดหมายทวงหนี้มาถึงบริษัท วันนั้นถึงทำให้เราทุกคนคุยกันถึงความกลัวว่าตัวเองก็อาจจะมีจดหมายทวงหนี้มาหาเช่นกัน เพราะคิดว่าไม่สามารถจ่ายหนี้เหล่านี้ได้ผมพบว่าบางคนมียอดจ่ายขึ้นต่ำเกือบเท่าเงินเดือนซึ่งหากไม่ทำงานล่วงเวลาก็อาจไม่สามารถจ่ายหนี้เหล่านี้ได้ บางครั้งชีวิตหลายๆ คนที่ดูสวยงามก็อาจไม่สวยงามอย่างที่เราคิด หลังจากวันนั้นทุกคนก็เริ่มมาช่วยกันหาทางปลดหนี้ภาพที่สวยงามเราต่างทิ้งไว้เบื้องหลัง 2 ถึง 3 ปีต่อมาหลายคนปลดภาระหมดและนำมาเป็นบทเรียนของชีวิต แต่อีกหลายคนก็ยังคนเป็นหนี้อยู่และติดอยู่ในวังวนแห่ง หนี้สิน และไม่สามารถออกมาจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้น ด้วยมุมมองที่ว่า “หากเราไม่มีหนี้ เราก็จะไม่มีอะไรเลย” อาจทำให้หลายๆคนมีมุมมองและมีความเข้าใจที่ผิดไปเกี่ยวกับการเป็นหนี้ จนทำให้เป็นหนี้มากขึ้นๆ ซึ่งแท้จริงแล้วสิ่งที่น่ากลัวจริงๆไม่ใช่การเป็นหนี้ แต่คือ วังวนแห่งการเป็นหนี้ไม่รู้จบต่างหากที่น่ากลัว