คนกรุงที่ใช้บริการโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสไปทำงานหรือทำธุระส่วนตัวเป็นประจำคงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มมากขึ้น เมื่อบริษัท ระบบขนส่งมวลชน กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสกรุ๊ป ได้ประกาศขึ้นอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. นี้เป็นต้นไป
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชน กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า บีทีเอสได้ขึ้นอัตราค่าโดยสารครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 56 ซึ่ง 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ รับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งบางรายการสูงขึ้นถึง 20% เช่น ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ทั้งการลงทุนเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น เช่น การสั่งซื้อรถไฟฟ้าขบวนละ 4 ตู้ เพิ่มอีก 46 ขบวน รวมเป็น 184 ตู้ ซึ่งจะเริ่มนำเข้ามาในประเทศไทยประมาณต้นปีหน้า พร้อมกับทยอยติดตั้งตู้จำหน่ายตั๋วโดยสารที่รับธนบัตรด้วยเพิ่มอีก 50 ตู้ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่แล้วประมาณ 50 ตู้กระจายอยู่ในระบบ และการปรับปรุงระบบตั๋วโดยสารมาเป็นระบบสัมผัส (Touch Screen) ทั้งหมด โดยตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 60 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะจัดเจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วโดยสารประเภทเที่ยวเดียวในสถานีที่มีจำนวนผู้โดยสารมากในช่วงเวลาเร่งด่วน เช่น สถานีหมอชิต สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สถานีสยาม และจะมีการตั้งโต๊ะจำหน่ายตั๋วโดยสารเที่ยวเดียวทุกราคาที่สถานีพญาไท สถานีสยาม สถานีอโศก เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารที่ต้องแลกเหรียญเพื่อซื้อบัตรโดยสารจากตู้จำหน่ายตั๋ว
ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ จะขอปรับค่าโดยสารในส่วนของเส้นทางสัมปทานระยะทาง 23.5 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 60 นี้ โดยสายสุขุมวิท จะเริ่มตั้งแต่สถานีอ่อนนุช–สถานีหมอชิต และสายสีลม ตั้งแต่สนามกีฬาแห่งชาติ–สถานีสะพานตากสิน ไม่รวมส่วนต่อขยาย (ช่วงสถานีอ่อนนุช–สถานีสำโรง และสถานีสะพานตากสิน–สถานีบางหว้า) ซึ่งค่าโดยสารที่ปรับจะมีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยสถานีละ 1-3 บาท เมื่อเทียบกับค่าโดยสารเดิมระหว่าง 15-42 บาท มาเป็น 16-44 บาท โดยมีรายละเอียดการเรียกเก็บ ดังนี้
-
สถานีแรก เรียกเก็บที่ราคา 16 บาท
-
2 สถานี ราคา 23 บาท
-
3 สถานี ราคา 26 บาท
-
4 สถานี ราคา 30 บาท
-
5 สถานี ราคา 33 บาท
-
6 สถานี ราคา 37 บาท
-
7 สถานี ราคา 40 บาท
-
8 สถานีเป็นต้นไป ราคา 44 บาท
ซึ่งการปรับราคาค่าโดยสารใหม่นี้ ทางบีทีเอสกรุ๊ปได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ยังคงอยู่ต่ำกว่าเพดานอัตราค่าโดยสารตามสัญญาสัมปทานซึ่งต้องควรอยู่ในอัตรา 20.11–60.31 บาท แต่สำหรับผู้ใช้บัตรแรบบิทประเภทเติมเงิน บริษัทฯ จะยังคงราคาเดิมเป็นเวลา 6 เดือน จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 61 ส่วนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ยังคงได้รับส่วนลดครึ่งราคาจากอัตราราคาใหม่เมื่อใช้บัตรแรบบิทสำหรับผู้สูงอายุ และสามารถเดินทางได้ไม่จำกัดเวลาเช่นเดิม
แน่นอนว่า การปรับขึ้นค่าโดยสารในครั้งนี้ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อผู้ที่ใช้บริการบีทีเอสเป็นประจำ จึงขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือ และบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้ดี เพื่อการบริการและการปรับปรุงที่จะดีขึ้นต่อไปในอนาคต
ที่มา