ปรับโครงสร้างหนี้เสีย ได้มั้ย ทำยังไง?
หนี้เสียถือเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของสังคมไทย และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ หลายครอบครัวประสบปัญหาหนี้สินพอกพูน จากรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ด้วยเศรษฐกิจที่โตช้ากว่าที่ควร รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ทางออกของใครหลายคนมักจะเป็นการขอสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ปัจจุบัน ในวันนี้เราจะพาไปดูกันว่า ปรับโครงสร้างหนี้เสีย ได้มั้ย ทำยังไง?
หนี้เสีย (NPL) คืออะไร?
หนี้เสีย หรือที่เรียกว่า NPL (Non-Performing Loan) คือหนี้ที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระคืนได้ตามกำหนดเป็นเวลานานติดต่อกันเกิน 90 วันขึ้นไป และอาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย หรือฟ้องร้องจากทางเจ้าหนี้
สำหรับใครที่กำลังเผชิญปัญหาหนี้เสียอยู่ ก็อย่าเพิ่งหมดหวัง เพราะยังมีทางออกผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ที่ช่วยให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินได้
ปรับโครงสร้างหนี้เสีย ทำได้ไหม?
คำตอบก็คือ ทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของเจ้าหนี้ และสถานะของลูกหนี้ โดยปกติแล้วทางเจ้าหนี้ ไม่ว่าจะ ธนาคาร หรือสถาบันการเงิน จะพิจารณาเป็นกรณีไป หากลูกหนี้ยังมีความสามารถในการชำระหนี้ และมีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหา โดยเงื่อนไขสำคัญที่ว่า ได้แก่
- หนี้เสียยังไม่ถูกดำเนินคดี หรืออยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าหนี้
- มีรายได้ที่สามารถนำมาใช้ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ได้
- แสดงเจตนาที่จะชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง
ข้อดีการปรับโครงสร้างหนี้เสีย
ยืดระยะเวลาผ่อนชำระ
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ลดลง แต่ยังสามารถผ่อนจ่ายได้
- ทำให้ค่างวดรายเดือนลดลงและจ่ายได้สะดวกขึ้น
ลดอัตราดอกเบี้ย
- บางกรณีธนาคารอาจพิจารณาลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยให้ลูกหนี้ชำระได้ง่ายขึ้น
- ลดภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากหนี้ค้างชำระ
พักชำระหนี้ชั่วคราว
- ธนาคารอาจให้หยุดพักการจ่ายหนี้ชั่วคราว (ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย หรือเฉพาะเงินต้น)
- เป็นการให้เวลาลูกหนี้ฟื้นตัวทางการเงินก่อนกลับมาชำระปกติ
รีไฟแนนซ์หนี้ (Refinance)
- คือการนำหนี้เก่ามาปรับเป็นสินเชื่อใหม่ที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า
- ลดภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนและทำให้จัดการหนี้ได้ง่ายขึ้น
ปรับรูปแบบการชำระหนี้
- เปลี่ยนจากการจ่ายเงินก้อนใหญ่เป็นการจ่ายเป็นงวดเล็ก ๆ
- ลดแรงกดดันทางการเงินให้ลูกหนี้
ข้อเสียการปรับโครงสร้างหนี้เสีย
ติดเครดิตบูโรนานขึ้น
- เมื่อปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ประวัติการชำระหนี้จะถูกบันทึกไว้ในเครดิตบูโร
- อาจส่งผลต่อการขอสินเชื่อใหม่ในอนาคต เพราะธนาคารจะเห็นว่ามีประวัติการปรับโครงสร้างหนี้
เสียดอกเบี้ยรวมมากขึ้น
- การยืดระยะเวลาผ่อนชำระออกไปทำให้ภาระดอกเบี้ยสะสมเพิ่มขึ้น
- แม้ว่าค่างวดต่อเดือนจะลดลง แต่เมื่อนับรวมดอกเบี้ยทั้งหมดอาจจ่ายแพงกว่าหนี้เดิม
ถูกกำหนดเงื่อนไขการชำระที่เข้มงวดขึ้น
- สถาบันการเงินอาจกำหนดให้ลูกหนี้ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เคร่งครัด
- หากผิดนัดชำระหนี้อีกครั้ง อาจถูกดำเนินการทางกฎหมายทันที
กระทบโอกาสขอสินเชื่อใหม่
- ผู้ที่เคยปรับโครงสร้างหนี้ อาจถูกปฏิเสธสินเชื่อใหม่ หรือได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
- สถาบันการเงินจะมองว่ามีความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อให้
มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- การปรับโครงสร้างหนี้บางกรณีอาจมีค่าธรรมเนียม เช่น ค่ารีไฟแนนซ์ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
- ควรสอบถามรายละเอียดให้ชัดเจนก่อนตกลงทำสัญญา
ไม่ใช่ทุกกรณีที่สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้
- หากลูกหนี้ไม่มีรายได้ที่มั่นคง หรือหนี้เสียรุนแรงมาก อาจถูกปฏิเสธ
- บางกรณีเจ้าหนี้อาจเสนอให้ปิดบัญชีหนี้แทนการปรับโครงสร้าง
อยากปรับโครงสร้างหนี้เสีย ต้องทำยังไง?
- ติดต่อเจ้าหนี้โดยตรง: แจ้งปัญหาทางการเงินและขอคำแนะนำในการปรับโครงสร้างหนี้
- เตรียมเอกสารทางการเงิน: สลิปเงินเดือน รายการเดินบัญชี รายรับ-รายจ่าย เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา
- เจรจาข้อตกลงที่เหมาะสม: ขอให้ธนาคารหรือเจ้าหนี้ช่วยพิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุด
- ปฏิบัติตามเงื่อนไขใหม่อย่างเคร่งครัด: เมื่อได้รับโอกาสแล้ว ควรรักษาวินัยทางการเงินเพื่อลดโอกาสเป็นหนี้เสียซ้ำ
การปรับโครงสร้างหนี้เสีย สามารถทำได้ ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ และเจ้าหนี้เห็นว่ายังมีศักยภาพในการชำระหนี้ การยืดระยะเวลาผ่อน ลดดอกเบี้ย หรือพักชำระหนี้ชั่วคราว จึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้ลูกหนี้สามารถฟื้นตัวทางการเงินได้ และใครที่กำลังเผชิญปัญหาหนี้เสีย อย่าปล่อยให้ไปถึงขั้นถูกฟ้องร้อง หากมีสัญญาณว่าผ่อนชำระเหมือนเดิมไม่ไหวแล้ว ก็ควรรีบติดต่อธนาคาร หรือสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกันก่อนที่ปัญหาจะบานปลาย