หลายคนคงเคยได้รับสายจากเจ้าหน้าที่บริษัทประกันเพื่อมาเสนอขายประกันในรูปแบบต่าง ๆ ให้กับเราผ่านทางโทรศัพท์ การเสนอขายประกันผ่านทางโทรศัพท์นี้เจ้าหน้าที่มักจะขอเวลาเราสักช่วงหนึ่งเพื่อทำการแนะนำตัวเอง พร้อมกับว่าติดต่อจากบริษัทประกันอะไร และประกันที่จะเสนอขายเป็นรูปแบบไหน โดยใช้วิธีการคุยเสนอขายผ่านทางโทรศัพท์หลังจากได้ฟังข้อเสนอแล้ว หากมีข้อซักถามอะไรเราก็สามารถซักถามกับเจ้าหน้าที่ได้ทันทีเพื่อให้เข้าใจถึงรูปแบบของประกันที่เสนอขาย สำหรับการเสนอขายประกันผ่านทางโทรศัพท์ เมื่อทำการตกลงซื้อประกันการชำระเบี้ยประกันจะทำผ่านทางบัตรเครดิตที่เราถืออยู่ ซึ่งโดยมากบริษัทประกันจะมีดีลกับธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตในการแชร์ข้อมูลของลูกค้าเพื่อติดต่ออยู่แล้ว
การเสนอขายประกันผ่านทางโทรศัพท์นี้เป็นรูปแบบการขายที่ใช้เวลาสั้นกว่าการขายในรูปแบบอื่น เจ้าหน้าที่กับลูกค้าไม่ได้พบปะหรือเจอหน้ากันโดยตรง ลูกค้าไม่ได้เห็นเอกสารอะไร ข้อมูลที่ได้ก็ผ่านการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันที่โทรมาเท่านั้น และโดยมากการเสนอขายประกันทางโทรศัพท์จะเป็นการเร่งให้ลูกค้าต้องรีบตัดสินใจโดยการตอบ “ตกลง” ผ่านทางโทรศัพท์ เจ้าหน้าที่จะทำการบันทึกเสียงของลูกค้าไว้เพื่อเป็นหลักฐานว่ายินยอมและตกลงตามเงื่อนไข ส่วนมากมักเป็นประกันที่มีข้อเสนอดีๆ วิธีการนำเสนอของเจ้าหน้าที่ก็ดึงดูดให้ลูกค้าสามารถสนใจภายในเวลาสั้น ๆ ได้ โดยเลือกที่จะบอกจุดเด่น ๆ ของกรมธรรม์ แต่ด้วยเวลาที่สั้นทำให้บางครั้งมีโอกาสที่จะอธิบายรายละเอียดได้ไม่ครบถ้วน ลูกค้าเองเนื่องจากไม่ได้เห็นเอกสาร และไม่มีเวลามากพอที่จะคิดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน ลูกค้าหลายคนเลยมีปัญหาในการตอบ “ตกลง” ไปทั้งที่ไม่แน่ใจ หรือที่คนส่วนใหญ่บอกว่าหลวมตัวนั่นเอง
ในฐานะลูกค้าเราต้องทราบก่อนว่าการขายประกันผ่านทางโทรศัพท์ก็อยู่ภายใต้กฎหมาย โดยกฎหมายที่ใช้ควบคุมก็คือ พระราชบัญญัติประกันชีวิตและพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมีประกาศของทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ เรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์การเสนอขายประกันภัยทางโทรศัพท์ไว้ด้วย ซึ่งทางบริษัทประกันจะต้องมีขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจภายใต้กฎหมายและประกาศดังกล่าว มิเช่นนั้นก็จะถือเป็นความผิด โดยหากลูกค้าต้องการสอบถามหรือร้องเรียนก็มีสายด่วนประกันภัย 1186 ที่สามารถติดต่อได้
มีข้อสงสัยว่าหากเราทำการ “ตกลง” สมัครประกันผ่านโทรศัพท์ไปแล้วจะสามารถยกเลิกได้หรือไม่ คำตอบก็คือสามารถยกเลิกได้อย่างช้าที่สุดคือไม่เกิน 30 วัน หลังจากได้รับกรมธรรม์ฉบับจริง เมื่อเราทำการตกลงซื้อกรมธรรม์ผ่านโทรศัพท์ เราต้องสอบถามชื่อ-นามสกุล เลขที่ใบอนุญาต เบอร์ติดต่อกลับและจดไว้ หากเรารู้สึกไม่มั่นใจ อยากสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรืออยากยกเลิกกรมธรรม์ก็สามารถติดต่อกลับไปที่ตัวแทนที่เป็นคนติดต่อเรามา ในกรณีต้องการยกเลิกประกันควรติดต่อกลับโดยเร็วที่สุดจะเป็นผลดีที่สุด เนื่องจากบางครั้งยังไม่ส่งเรื่องเพื่อไปพิมพ์กรมธรรม์ เจ้าหน้าที่จะยกเลิกให้ได้ และยังไม่ได้ส่งเรื่องเพื่อตัดค่าเบี้ยผ่านบัตรเครดิต โดยมากเมื่อลูกค้าโทรกลับไปเพื่อยกเลิก เจ้าหน้าที่จะพยายามหว่านล้อมและอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรมธรรม์และชักจูงให้ลูกค้าตัดสินใจใหม่ ทำให้ลูกค้าเกิดความลังเลอีก ข้อแนะนำ คือ หากเราไม่มั่นใจจริงและอยากยกเลิกอย่างแน่นอน ก็ให้ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ไปว่าเราต้องการยกเลิกจริง ๆ
วิธีที่จะสามารถยกเลิกกรมธรรม์ที่สมัครผ่านทางโทรศัพท์ได้อย่างแน่นอน โดยที่ได้รับเบี้ยประกันที่จ่ายไปก่อนหน้านั้นคืนเต็มจำนวนทั้งหมด ก็คือ ทำจดหมายหรือหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรว่าต้องการยกเลิกกรมธรรม์ฉบับใด ส่งเป็นไปรษณีย์แบบลงทะเบียนพร้อมกับแนบกรมธรรม์ฉบับจริงและสำเนาบัตรประชาชนเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องไปด้วย ต้องส่งให้ถึงบริษัทประกันภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่เราได้รับเล่มกรมธรรม์ ที่ต้องเป็นไปรษณีย์ลงทะเบียนก็เนื่องจากสามารถใช้เป็นหลักฐานในเรื่องวันเวลาได้หากมีกรณีพิพาทเกิดขึ้น ปกติเมื่อตกลงซื้อประกันทางโทรศัพท์ ค่าเบี้ยประกัน 2 งวดแรกจะตัดผ่านบัตรเครดิตของเราก่อนหน้าที่กรมธรรม์จะส่งมาถึง หากเราต้องการยกเลิกและได้ทำตามขั้นตอนที่กำหนด บริษัทประกันจะต้องคืนค่าเบี้ยประกัน 2 งวด นั้นเข้ามาในบัญชีบัตรเครดิตของเราด้วย
หากต้องการยกเลิกประกันหลังจากได้รับกรมธรรม์เกินกว่า 30 วัน ไปแล้ว ก็สามารถทำได้เช่นกันเพียงแต่จะไม่ได้รับค่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปแล้วคืนเต็มทั้งจำนวน จะได้คืนหรือไม่หรือจะได้คืนมากน้อยเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าเงินสดหรือมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ตามที่ระบุไว้ท้ายสัญญาเท่านั้น โดยมากมักจะไม่คุ้มกับค่าเบี้ยประกันที่เสียไป แต่หากเราชั่งใจแล้วว่าอยากยกเลิกไม่อยากส่งค่าเบี้ยต่อ ก็สามารถยกเลิกได้ เพียงแต่ต้องยอมรับมูลค่าเงินคืนที่ไม่ได้เท่าเดิม หากส่งค่าเบี้ยประกันไปหลายงวดแล้วก็ควรพิจารณาให้ดีถึงความคุ้มค่า บางครั้งหากมีปัญหาเรื่องส่งค่าเบี้ยต่อไม่ไหว อาจโทรปรึกษาเจ้าหน้าที่บริษัทประกัน บริษัทประกันจะมีทางเลือกให้เปลี่ยนแปลงกรมธรรม์โดยไม่ต้องส่งค่าเบี้ยต่อ คือการลดทุนประกันลงระยะเวลาคุ้มครองเท่าเดิม หรือ ขยายระยะเวลาคุ้มครองให้ยาวออกไปแต่ทุนประกันเท่าเดิม เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการเวนคืนกรมธรรม์ การลดทุนประกันลงหรือการขยายระยะเวลาคุ้มครอง เราจะได้รับเงินคืนน้อยกว่าค่าเบี้ยประกันที่เราจ่ายไปแน่นอน
ก่อนตัดสินใจซื้อประกันชีวิตเราจะต้องทราบก่อนกว่าเราจะต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันเป็นระยะเวลาค่อนข้างยาวนาน เพื่อแลกกับการออมเงินและความคุ้มครองต่าง ๆ เราต้องทำความเข้าใจด้วยว่าหากเราส่งค่าเบี้ยไม่ได้ตามที่กำหนดในกรมธรรม์หรือต้องการขายคืนกรมธรรม์ก่อนกำหนด เงินที่เราจะได้รับจะไม่คุ้มค่ากับค่าเบี้ยที่เราส่งไป ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อประกันไม่ว่าจะผ่านทางโทรศัพท์หรือผ่านตัวแทนก็ตาม ควรตัดสินใจให้ดีให้มั่นใจว่าเรามีความสามารถในการส่งค่าเบี้ยประกันได้ตามกำหนด และสามารถรอได้จนถึงระยะเวลาสิ้นสุดกรมธรรม์เพื่อให้ได้รับเงินคืนแบบคุ้มค่าตามที่คาดหวังไว้
ขอบคุณข้อมูล