ยิ่งใกล้ถึงวันสิ้นปีกันแล้ว ช่วงเวลานี้หลายคนคงได้มีการวางแพลนว่าจะไปท่องเที่ยวที่ใดบ้าง ในประเทศบ้าง ต่างประเทศบ้างแล้วแต่ความชื่นชอบ และงบประมาณในการท่องเที่ยวของแต่ละบุคคล และ ในการท่องเที่ยวภายในประเทศก็ยังคงเป็นการท่องเที่ยวที่คนไทยยังคงชื่นชอบ และหาโอกาสเดินทางเพื่อหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่ตามแต่ละจังหวัดในประเทศไทยที่ตนสนใจ
การขับรถระยะทางไกลเพื่อเดินทางท่องเที่ยว หรือเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงวันปีใหม่ จึงเป็นสิ่งที่หลายคนมักจะทำกันเพราะเดี๋ยวนี้ถนนหนทางที่เชื่อมระหว่างแต่ละจังหวัดค่อนข้างดี ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นกว่าแต่ก่อน และ เมื่อคุณได้ตกลงใจเลือกเดินทางด้วยการขับรถ สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างแรก คือ ตรวจสภาพรถก่อนเดินทาง เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางไกล ทั้งของคุณ คนในครอบครัว และผู้ที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกับคุณ ซึ่งงบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการตรวจ สภาพรถยนต์ เมื่อนำรถยนต์เข้าตรวจสภาพที่ศูนย์ให้บริการ
ดังนั้น เบื้องต้นคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้ก่อนว่า รายการ Checklist ที่คุณควรเช็คก่อนออกเดินทางมีอะไรบ้าง เพื่อประเมินได้ว่า มีรายการไหนที่คุณสามารถตรวจได้เองโดยเมื่อนำรถเข้าไปรับการตรวจสภาพที่ศูนย์ให้บริการจะได้ตัดรายการนั้นออก เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณไปได้อีกมากโขทีเดียว ในที่นี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
การตรวจสภาพรถภายนอก
- ยาง
คุณจำเป็นต้องตรวจความดันลมยาง ดอกยาง และรอยฉีกขาดของล้อยาง พร้อมตรวจดูว่าน็อตยึดล้อขันแน่นดีหรือไม่ แต่ก็ต้องไม่แน่นจนเกินไปจนกระทั่งไม่สามารถคลายออกได้ด้วยตัวเอง เพราะชีวิตของเราบนท้องถนนนั้นพึ่งอยู่กับยางรถยนต์มากกว่าที่คิดเอาไว้ เพราะมันคือตัวตัดสินความปลอดภัยในชีวิตทุกครั้งที่เราขับขี่รถยนต์ซึ่งหลายคนจะคิดถึงข้อนี้น้อยที่สุด และโดยในเบื้องต้นคุณควรเริ่มจากการเช็คลมยางของรถทั้งสี่ล้อให้มีแรงดันเหมาะสม จากนั้นจึงควรตรวจสอบเนื้อยางล้อว่าเหลืออีกมากน้อยเพียงใด โดยสังเกตจากขีดกลางที่อยู่ระหว่างร่องยาง (สะพานยาง) ว่า เหลืออีกมากน้อยแค่ไหน หากเหลือน้อย คุณควรจะเปลี่ยนยางล้อก่อนเดินทาง เพื่อลดความเสี่ยงที่ยางจะระเบิด โดยเฉพาะใครที่มักจะขับด้วยความเร็วอยู่เป็นประจำ จึงควรตรวจให้มั่นใจ
Trick : การตรวจความดันลมยางรถยนต์ (มาตรฐานลมยางของรถชนิดต่างๆ )
-
รถเก๋งขนาดเล็ก ความดันลมยาง 25 – 30 ปอนด์/ตารางนิ้ว
-
รถเก๋งขนาดกลางถึงใหญ่ ความดันลมยาง 30 – 35 ปอนด์/ตารางนิ้ว
-
รถกระบะ ความดันลมยาง ไม่ควรเกิน 65 ปอนด์/ตารางนิ้ว
ถ้ามีการเดินทางไกลควรเพิ่มลมยางอีก 3 – 5 ปอนด์/ตารางนิ้ว จากความดันลมในปกติ
2. ระบบไฟรถยนต์
ในที่นี้หมายรวมถึง ระบบไฟส่องสว่าง เช่น ไฟหน้ารถ สูง-ต่ำ ไฟเบรก ไฟเลี้ยว ไฟฉุกเฉิน และไฟท้าย เพราะในการเดินทางไกล เรื่องการให้สัญญาณของรถยนต์สำคัญมาก และช่วยลดอุบัติเหตุ ได้อย่างดี
3. รอยรั่วซึม
คุณควรตรวจรอยรั่วซึมตามจุดต่าง ๆ ของรถยนต์ เช่น หารอยน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ หรือมีของเหลวรั่วซึมออกมาจากใต้ท้องรถหรือไม่ ซึ่งหากพบรอยรั่วซึมก็ควรนำรถยนต์ ไปให้ช่างที่ชำนาญการตรวจสอบทันที
4. ยางปัดน้ำฝน
คุณควรทดลองปัดดูก่อนเดินทาง และตรวจว่า ยางปัดน้ำฝนน้ำเสื่อม เปื่อย หรือยู่ยหรือไม่ และจำเป็นต้องเปลี่ยนหากมีสภาพแย่จริง ๆ เพราะคุณไม่สามารถคาดได้ว่าระหว่างเดินทางฝนจะตกหรือไม่
ข้อแนะนำ การตรวจความผิดปกติของระบบไฟที่หน้าปัด ทำโดยเมื่อบิดกุญแจไป on ระบบไฟทุกอย่างควรโชว์ เป็นปกติ และเมื่อทำการสตาร์ทก็ควรจะดับลง
การตรวจสภาพรถภายในรถ
- ยางอะไหล่และแม่แรง
เมื่อคุณตรวจเช็คลมยางที่ใช้จริงทั้งสี่ล้อแล้ว ยางอะไหล่ก็เป็นอีกสิ่งที่คุณควรเตรียมให้พร้อมเช่นกัน โดยเติมลมให้เท่ากับยางที่ใช้จริง ตลอดจนตรวจว่า แม่แรง และด้ามขันที่เก็บไว้ในรถสามารถใช้งานได้ตามปกติ
2. แตร ควรตรวจให้แน่ใจว่า เสียงดัง และลมแตรดี
3. แผงควบคุมและอุปกรณ์
ควรตรวจให้แน่ใจว่า แผงควบคุมบริเวณหน้าปัดทำงานได้เป็นปกติ ตลอดจนเวลากดปุ่มใด ๆ ก็ควรใช้ได้ดี เช่น ที่ปัดน้ำฝน ปัดได้สม่ำเสมอไม่กระตุก
4. เบรก
คุณจำเป็นต้องคอยสังเกตระดับน้ำมันเบรกว่า มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และหากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมา ควรรีบตรวจสอบทันที และถ้าคุณพบว่า เบรกมีเสียงดังเวลาใช้งาน แสดงว่า เบรกคุณเสื่อมอายุแล้วแต่ควรจะระลึกเสมอว่าหากต้องการเปลี่ยนเบรกควรจะเตรียมการตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะ เบรกต้องใช้เวลาในการรันอินระยะหนึ่งก่อน
5. เข็มขัดนิรภัย
คุณควรตรวจว่า หัวเข็มขัดนิรภัยสามารล็อค และปลดล็อคได้เป็นปกติ การดึงกระตุกกลับสามารถทำได้ดี
6. ระดับน้ำหล่อเย็น ควรตรวจให้มีอยู่ถึงในระดับสูงสุดในถังพักสำรอง
7. หม้อน้ำและท่อยาง
คุณควรดูระบบระบายความร้อนว่า ด้านหน้าหม้อน้ำสะอาด ไม่มีเศษวัสดุ หรือ ใบไม้ติดอยู่ ท่อยางว่าไม่มีรอยแยกแตกเปื่อย มีรอยฉีกขาดหรือหลวม เพราะถ้าความร้อนเกิดขึ้นสูงอาจจะส่งผลกระทบถึงเครื่องยนต์จนพังคาถนนก็อาจเป็นได้ ดังนั้นควรตรวจสอบที่พักน้ำสำรองว่ามีการพร่องหายหรือไม่ เช่นเดียวกับสภาพน้ำหล่อเย็นมีสภาพเป็นสนิมหรือไม่ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพลดลง เช่นเดียวกับระบบพัดลมไฟฟ้า
8. สายพานส่วนต่าง ๆ
ต้องตรวจดูว่า ไม่มีรอยแตก หรือ เลอะของน้ำมันหล่อลื่น และความตึงสายพาน อยู่ใน ค่าที่กำหนดไว้
9. ท่อน้ำมันเชื้อเพลิง
คุณควรตรวจดูว่า ท่อน้ำมันมีการรั่ว หลุดหรือไม่ ตลอดจนยางรอบ ๆ นั้นเปื่อยเสื่อมแค่ไหน จำเป็นต้องเปลี่ยนทันทีเลยหรือไม่
10. เครื่องปรับอากาศ
ระบบปรับอากาศเป็นตัวช่วยสำคัญในการเดินทาง ยิ่งหากต้องเดินทางไกลเครื่องปรับอากาศจะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น คลายร้อน ไม่ง่วงนอน ในเวลาเดินทางตอนอากาศร้อน ๆ แต่การตรวจสภาพควรพึ่งผู้เชี่ยวชาญจะสมควรกว่า
11. แบตเตอรี่และสายไฟ
แบตเตอร์รี่เป็นสิ่งที่เราใช้งานเป็นประจำ โอกาสที่แบตเตอรี่เสื่อมก็จะเกิดง่ายขึ้น ซึ่งอาการแบตเตอร์รี่เสื่อมสภาพนั้น สังเกตจากการสตาร์ทรถยนต์ ถ้าแบตเตอร์รี่ดีต้องสามารถเก็บประจุไฟได้ดี ทำให้มีแรงดันไฟฟ้าพอต่อการสตาร์ทรถในแต่ละครั้ง จากนั้นควรดูขั้ว และสายไฟว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่ด้วย
12. ระดับน้ำมันเบรกและคลัทช์
ควรตรวจระดับน้ำมันเบรก และคลัทช์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หากสิ่งไหนพร่องไปก็ควรเติมให้เต็ม
จากทั้ง 16 รายการ มีบางรายการที่คุณสามารถตรวจสภาพเองได้โดยไม่ต้องเสียสตางค์ และนอกจากนี้ตามศูนย์ ให้บริการ ในช่วงใกล้ปีใหม่มักจะมีโปรโมชั่นออกมาดึงดูดใจลูกค้า โดยการตรวจสภาพรถยนต์ให้ฟรี 20 กว่ารายการ เพียงแค่ซื้อสินค้า / ผลิตภัณฑ์จากศูนย์ให้บริการรถยนต์ยี่ห้อที่คุณเป็นเจ้าของอยู่ ซึ่งการ ตรวจสภาพรถก่อนเดินทาง ให้พร้อม นับเป็น วิธีทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้คุณนั้นได้ประหยัดงบประมาณนั่นเอง
ถ้ากำลังมองหา ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 ที่ราคาถูกสุดๆ ต้อง คลิกที่นี่ เลย