ปัญหาหนี้สิน ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากในปัจจุบันนี้ มีใครบ้างล่ะที่ไม่เคยเป็นหนี้ แต่สำหรับหนี้ที่เกิดขึ้นในกรณีของตัวดิฉันเองนั้น มันคือหนี้ที่บัตรกดเงินสด ที่เราไม่ได้เป็นผู้ใช้เงินสักบาทเดียว หลาย ๆ คนคงสงสัยว่า บัตรกดเงินสดเป็นชื่อของดิฉันเอง ในเมื่อตัวเราไม่ได้ใช้ ทำไมถึงเป็นหนี้ได้ จะว่าไปเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ ถือว่าเป็นบทเรียนที่ตัวดิฉันจำได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ และน่าจะเป็นข้อเตือนใจให้กับหลาย ๆ คนได้
จุดเริ่มต้นของการเป็นหนี้
เมื่อสักประมาณ 10 ปีที่แล้ว ดิฉันเองได้เริ่มเข้าทำงานที่บริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ช่วงเริ่มทำงานค่าตอบแทนที่ได้ คือ 9,000 บาท พอทำงานได้ประมาณ 6 เดือน ก็ได้มีการปรับเพิ่มเงินเดือนทำให้ได้รับเงินเพิ่ม ก็เริ่มมีคนเข้ามาเสนอบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดให้สมัครใช้ จะว่าไปในตอนนั้นเราก็ไม่ได้ตัดสินใจสมัครหรอกนะคะ เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ ด้วยความที่ดิฉันเองอาศัยอยู่กับพี่ชาย เวลามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นในแต่ละวันก็จะเล่าให้ฟังอยู่เสมอ ๆ และก็รวมถึงเรื่องของบัตรเครดิตด้วย แล้วพี่ชายเราก็บอกว่าไม่ต้องสมัครหรอกเรายังเด็กอยู่ไม่ต้องรีบเป็นหนี้ขนาดนั้นก็ได้ ใช้เท่าที่จำเป็นก็พอ
จุดพลิกผันของการเป็นหนี้
หลังจากที่ทำงานมาได้ประมาณ 2 ปีกว่า ๆ ช่วงนั้นจำได้ว่าบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ถือว่าบูมมาก ๆ มีแต่คนมาเสนอให้ทำเรียกว่าตื้อจนเราใจอ่อน ยอมทำบัตรกดเงินสดไป 1 ใบ เพราะพี่ที่ชวนให้สมัครบอกว่าถ้าไม่ใช้ก็ไม่เสียหายอะไรมีให้อุ่นใจก็ดี เผื่อเรามีความจำเป็นต้องใช้ พอผ่านไปได้ประมาณ 1 เดือนนิด ๆ พี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเราก็มาขอยืมเงินบอกว่าเงินไม่พอใช้ต้อง ซึ่งเราก็บอกไปเราไม่มีเงินสดนะ มีแต่บัตรกดเงินสดยังไม่ได้ใช้เลย พี่สาวเลยบอกงั้นขอยืมก่อนเดี๋ยวจะจ่ายให้ เราก็เลยให้บัตรพี่เค้าไปกดเงินเอง แรก ๆ พี่เค้าจ่ายค่าบัตรกดเงินสดให้ตลอดไม่เคยขาดจ่ายเต็มจำนวนตลอด เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และไม่เคยถามเรื่องบัตรกดเงินสดอีกเลย จนมาทราบเรื่องอีกทีพร้อมจดหมายแจ้งให้ชำระหนี้ส่งไปที่บ้าน จำได้เลยตอนนั้น ตกใจมาก เพราะแม่บอกว่าทำไมมีจดหมายทวงหนี้มาที่บ้าน 60,000 บาท เอาเงินไปทำอะไร พอได้ยิน อึ้งไปเลยค่ะจับใจความอะไรไม่ได้เลยในตอนนั้น พอตั้งสติได้ก็รีบโทรไปหาพี่สาวทันทีแต่ปรากฏว่าโทรไปก็ปิดเครื่อง ไปตามที่บ้านก็ไม่เจอ เปลี่ยนทั้งเบอร์โทรศัพท์ ทั้งที่ทำงาน
สรุปสถานการณ์ตอนนั้น คือเราต้องแบกภาระหนี้ จำนวน 60,000 บาท แถมยังเป็นเงินที่เราไม่ได้ใช้เองอีก จะเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้อาย กลัวโดนด่า โดนว่า ยอมรับเลยค่ะว่า ช่วงนั้นเครียดมาก ๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทางตันทั้งนั้น จนต้องตั้งสติกันใหม่ เริ่มหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อได้ข้อมูลแล้ว ก็รีบดำเนินการ ดังนี้คือ
1.โทรหาเจ้าหน้าที่สำนักงานกฎหมายทันที อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า มีจดหมายเรียกให้ชำระหนี้ที่คงค้างทั้งหมด ซึ่งในจดหมายระบุไว้ให้ติดต่อกลับภายใน 7 วัน ก็เลยรีบโทรไปหาเจ้าหน้าที่แล้วขอคำแนะนำว่าจะต้องทำอย่างไร หนี้ที่เหลือ ขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน เพราะเราไม่มีเงินมาชำระคืนให้ทั้งหมด ซึ่งเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำได้ดีทีเดียวค่ะ
2.หาเงินเพิ่ม ถ้าจะหวังพึ่งแต่เงินเดือนก็คงไม่ไหว เลยหางานพิเศษทำด้วยการขายของ และรับจ้างพิมพ์งานให้กับนักศึกษาบ้าง
3.จดบันทึกรายรับรายจ่าย อันนี้รุ่นพี่ที่ทำงานแนะนำมาค่ะ แรก ๆ เราก็ไม่สนใจเท่าไหร่ แต่พี่เค้าบอกว่ามันดีนะ อยากให้ลองทำดูเพราะเรายังเด็กอยู่จะได้มีเงินเหลือเก็บ รู้จักประหยัดบ้าง แรก ๆ ก็ทำบ้างไม่ทำบ้างเพราะขี้เกียจ แต่หลังจากที่ต้องรับภาระใช้หนี้ เริ่มทำพร้อมสมุดจดบันทึกส่วนตัว 1 เล่ม จดค่าใช้จ่ายทุกอย่างในแต่ละวันเลยค่ะ อย่างที่เค้าพูดกัน ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา พอทำไปเรื่อย ๆ มันช่วยได้เยอะจริง ๆ ค่ะ ทำให้รู้จักการใช้เงินมากขึ้น รอบคอบมากขึ้น ทำให้มีเงินเหลือมากพอที่จะใช้หนี้
4.ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง พอรู้ว่าในแต่ละเดือนเราต้องชำระหนี้เป็นจำนวนเท่าไหร่ ก็เริ่มที่จะลดค่าใช้จ่ายลง จากที่ต้องซื้ออาหารกิน ก็ทำอาหารมาจากบ้านเอามาทานที่ทำงาน งดดื่มกาแฟ
5.ใช้เวลาในการปลดหนี้บัตรกดเงินสดได้ 1 ปีพอดี โชคดีที่นอกจากได้เงินเดือนแล้วในแต่ละเดือนยังมีค่าคอมมิชชั่นจากการขายกรุ๊ปทัวร์ต่างประเทศและโบนัสประจำปีทำให้มีเงินก้อนที่จะไปชำระหนี้หมด ณ ตอนนั้นรู้สึกโล่งใจเป็นที่สุดและบอกกับตัวเองไว้ว่าฉันจะไม่ก่อหนี้อีกแล้ว จะทำอะไรให้คิดให้รอบคอบให้ดีเสียก่อน
สุดท้ายอยากจะฝากบอกถึงคนที่มีปัญหาหนี้สินรุงรังก็อย่าพึ่งหมดหวังนะคะ เพราะทุกปัญหามีทางแก้เสมอ การเผชิญหน้ากับความจริงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เชื่อเถอะค่ะว่าคุณจะผ่านมันไปได้