เป็นข่าวครึกโครมไปเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมของปีที่ผ่านมา เมื่อ Uber บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันเจ้าของแอพพลิเคชั่นสำหรับเรียกรถโดยสารชื่อดังได้ตัดสินใจถอยจากจีนด้วยการขายกิจการ Uber China ให้กับธุรกิจประเภทเดียวกันแต่เป็นของคนจีนเอง Didi Kuaidi โดยเหลือเพียงสถานะผู้ถือหุ้นไว้เท่านั้น
จากข่าวนี้เองที่ทำให้ชื่อของ Cheng Wei เจ้าของ Didi Kuaidi นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีอายุเพียงแค่ 34 ปีเท่านั้น ได้กลายมาเป็นเป้าสายตาของคนทั่วโลกแทบจะทันที ล่าสุดนิตยสารชื่อดังอย่าง Forbes ฉบับเดือนธันวาคม 2559 ยังได้ขึ้นหน้าปกเป็นรูปของ Cheng Wei พร้อมกับบอกว่า เขาคือนักธุรกิจยอดเยี่ยมแห่งปี Cheng Wei ยังได้ถูกจัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes ให้เป็น Billionaires อันดับที่ 1,694 ของโลก และอันดับที่ 223 ในประเทศจีน
เริ่มอยากรู้จัก Cheng Wei กันมากขึ้นแล้ว จริงไหมคะ เราไปไล่เรียงดูประวัติส่วนตัวของเขากันดีกว่าค่ะ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรกว่าที่จะมาถึงวันนี้
Cheng Wei เคยทำงานที่ Alibaba ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย
Will คือชื่อเล่นของ Cheng Wei เขาเกิดในปี ค.ศ. 1983 ที่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเจียงซี แม้ว่าจะป่วยในวันสอบเอนทรานซ์ แต่เขาก็ได้เข้าเรียนจนจบปริญญาตรีสาขาเทคโนโลยีเคมีจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เมื่อเรียนจบก็ได้เข้าทำงานครั้งแรกในบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ Food Massage ทำงานไปได้ไม่นาน Cheng Wei ก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่งานที่เขาคิดไว้ หลังจากนั้นในปี 2005 เขาจึงเปลี่ยนงานโดยไปสมัครงานที่ Alibaba ตำแหน่งพนักงานขาย Cheng Wei ใช้เวลาทำงานใน Alibaba 6 ปี ก็ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการแผนกขายที่ดูแลพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด และเขาก็ได้เข้าทำงานใน Alipay บริษัทที่มี platform ระบบการชำระเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เขาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้จัดการที่มีผลงานโดดเด่นและได้ก้าวไปเป็น regional manager ที่มีอายุน้อยที่สุด
ลาออกตั้งบริษัทให้บริการเรียกแท็กซี่ของตัวเอง
ปี 2012 Cheng Wei ลาออกจาก Alibaba และตั้งบริษัทของตัวเองมีชื่อว่า Beijing Orange Technology Co ให้บริการเรียกแท็กซี่ด้วย Didi Dache ปี 2014 เขาได้จ้าง Jean Liu ซึ่งเคยทำงานเป็น MD ของ Goldman Sachs ประจำภาคพื้นเอเชียมาดำรงตำแหน่ง COO ให้กับบริษัทของเขา เดือนกุมภาพันธ์ 2015 บริษัทของเขาได้ควบรวมกับ Kuaidi Dache ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกันมาก่อนหน้านั้น และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Didi Kuaidi และ Didi Chuxing ตามลำดับ ก่อนที่เดือนสิงหาคม 2016 Cheng Wei จะซื้อทรัพย์สินของ Uber China ทั้งหมดมาไว้ในมือ โดยดีลนี้มีมูลค่าสูงถึง 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เจ้าของบริษัทสตาร์ทอัพเชื้อสายจีนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
ภายใต้การบริหารธุรกิจร่วมกันของ Cheng Wei และ Jean Liu ทั้งคู่ได้ทำให้ Didi Chuxing กลายเป็นบริษัทสตาร์ทอัพทางด้านไอทีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก บริษัทได้เริ่มต้นจากการให้บริการรับเรียกแท็กซี่จนในปัจจุบันได้กลายเป็นบริษัทที่มีแพลตฟอร์มการให้บริการด้านคมนาคมผ่านมือถือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มีผู้ใช้บริการมากกว่า 300 ล้านคน ใน 400 เมืองของจีน
ปรัชญาการดำเนินชีวิตและการบริหารธุรกิจของ Cheng Wei
เมื่อเปรียบเทียบ Cheng Wei กับผู้ประกอบการรุ่นเดียวกันแล้วต้องถือว่าเขามีโปรโฟล์ที่เรียบง่ายกว่ามาก ในปี 2012 เขายังมีชีวิตที่เรียบง่ายในเมืองเกิดใช้เวลาช่วงบ่ายนั่งในวัดอ่านหนังสือของปู่ ในช่วงก่อนหน้าที่เขาจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงขึ้นมานี้ เขาได้เคยเขียนถึงเรื่องความสำเร็จในการทำธุรกิจไว้ใน blog ของเขาว่า โอกาสของความสำเร็จทางธุรกิจนั้นถือว่ายากมาก ๆ ส่วนความล้มเหลวนั้นเป็นเรื่องแน่นอน เราจะเห็นเลยว่าคนที่สำเร็จเพียงไม่กี่คนนั้นเขาเก่งขนาดไหน ในขณะที่คนที่ล้มเหลวที่มีเป็นจำนวนมากนั้นแท้จริงแล้วมันช่างอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว
ในปี 2004 Cheng Wei ยังได้เคยเขียนไว้ถึงการอยู่รอดของธุรกิจสตาร์ทอัพว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.7 ปี และตัวเลขนั้นลดลงมาเป็น 2.9 ปีในปี 2011 เขาได้บอกไว้ว่าปัจจัยที่จะช่วยให้ธุรกิจสตาร์อัพในจีนประสบความสำเร็จได้นั้น จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในประเทศอย่างที่บริษัทสมาร์ทโฟน Xiaomi ได้เคยทำไว้
Cheng Wei เป็นนักอ่านตัวยง เขามีนิสัยชอบหามุมสงบ ๆ ในร้านหนังสือที่คุ้นเคย ใช้เวลาวันอาทิตย์อยู่กับหนังสือและถ้วยชา เขาใช้เวลาเขียน blog มาโดยตลอด มี blog ที่เกี่ยวกับเรื่องของการบริหารจัดการองค์กรว่า เช่น
- การฝึกหัดเพียงอย่างเดียวไม่ช่วยให้พนักงานเติบโตได้
- นายพลจะเกิดขึ้นได้จากสมรภูมิสงครามเท่านั้น ไม่ใช่ในโรงเรียนทหาร
- งานของผู้จัดการฝ่ายขายก็คือการสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ทำให้พนักงานขายรู้สึกว่าเหมือนถูกบังคับให้ต้องทำให้สำเร็จ
- คนหนึ่งคนอาจเดินให้เร็วได้ แต่กลุ่มคนเท่านั้นที่จะเดินได้นาน
Cheng Wei ยังได้นำคำพูดของของ แจ๊ค หม่า หรือ บิล เกตต์ มาโพสต์ลงใน blog ของตัวเองอยู่บ่อย ๆ และเขาเป็นนักธุรกิจจีนที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Nationalism คือรักประเทศบ้านเกิด อย่างหาตัวจับได้ยาก ก่อนหน้านี้ Uber ได้เคยขอซื้อกิจการของ Didi แต่ Cheng Wei ปฏิเสธไปเพราะเชื่อในศักยภาพของพาร์ทเนอร์อย่าง Alibaba และกองทุนขนาดใหญ่ในจีนที่ให้การสนับสนุนอยู่ ในขณะที่ Uber เองเมื่อถูกบล็อกจาก WeChat ซึ่งเป็นแอพสนทนาที่คนจีนใช้กันมากที่สุด ก็ทำให้ช่องทางของการสื่อสารกับผู้คนส่วนใหญ่นั้นหายไปอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งถือเป็นช่องทางที่สำคัญมาก อีกทั้งแม้ว่าจำนวนผู้ใช้บริการของ Uber จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นแต่กำไรกลับไม่ได้มากขึ้น ในขณะที่ Didi Chuxing ของ Cheng Wei นั้นดีกว่าตรงที่มีฐานลูกค้าผู้ใช้บริการมากกว่าถึง 4-5 เท่าตัว
แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปกป้องธุรกิจของตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่เราจะปฏิเสธว่าความสำเร็จของ Didi Chuxing ไม่ได้เป็นความสำเร็จของผู้ชายที่ชื่อว่า Cheng Wei คงจะไม่ได้ เป็นเพราะสายตาในการเลือกทำธุรกิจที่ยาวไกล รู้เทรนด์ว่าธุรกิจไหนที่จะตอบรับกับความต้องการของประชาชนชาวจีนเป็นจำนวนมาก ชิงข้อได้เปรียบของธุรกิจที่เหนือกว่าไว้ และไม่ปล่อยให้โอกาสที่ดีแต่ละครั้งหลุดลอยไป Cheng Wei จึงเป็นนักธุรกิจสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่างให้กับนักธุรกิจสตาร์ทอัพของไทยได้เป็นอย่างดี และเรายังคงต้องเฝ้ามองความสำเร็จของชายคนนี้ต่อไป
ขอบคุณข้อมูล