สำหรับผู้ที่มีรถและใช้รถยนต์บนท้องถนนกับการจราจรที่มีรถยนต์คับคั่งมากมายอย่างทุกวันนี้ สิ่งที่บางครั้งก็หลีกเลี่ยงได้ยาก ก็คือ อุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนกันบนท้องถนน ในกรณีที่มีรถยนต์คันอื่นมาชนรถของเรา ในขณะที่เราเป็นฝ่ายถูก สิ่งที่ทุกคนจะต้องทำก่อนอื่นเลยคือการเรียกประกันมา ณ ที่เกิดเหตุและเจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่ เมื่อรถถูกชนก็มักจะให้ประกันของรถคู่กรณีเป็นฝ่ายจ่ายค่าซ่อมรถยนต์ให้
แต่ทราบไหมว่า เมื่อรถของเราถูกชนนั้น นอกจากการที่รถต้องเสียหายและเข้าอู่เพื่อซ่อม ซึ่งจะมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการปะทะกันเมื่อถูกชน สิ่งที่เจ้าของรถยนต์ที่ถูกชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงและทางคู่กรณีเองก็อาจจะไม่ทราบด้วย ส่วนทางบริษัทประกันนั้นเขามักจะไม่บอกเราถึงสิทธิประโยชน์ที่เราสามารถเรียกร้องเก็บเอาจากประกันของคู่กรณีได้อีกอย่างนั่น ก็คือ เงินสินไหมทดแทนค่าเสียประโยชน์
เมื่อรถยนต์ของเราถูกชนและเกิดความเสียหายต้องนำไปซ่อมที่อู่ไม่ว่าจะมีความรุนแรงเสียหายมากหรือน้อยก็ตาม นอกจากการรับผิดชอบจ่ายค่าซ่อมตัวรถยนต์ให้กับเราแล้ว คู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิดหรือประกันของเขาต้องจ่ายค่าเสียโอกาสให้กับเราด้วย
ค่าเสียโอกาสที่กล่าวถึงนี้ ก็คือ การเคลมประกันในระหว่างซ่อม เพราะอย่าลืมว่าเมื่อรถยนต์ของคุณต้องเข้าอู่ซ่อม การเดินทางของคุณจะยากลำบากขึ้นหมดความสะดวกลง คุณไม่สามารถใช้ประโยชน์จากรถยนต์ของคุณได้ในช่วงระยะเวลานั้นที่รถต้องซ่อมอยู่ ซึ่งนั่นก็เกิดจากความผิดของคู่กรณีที่มาชนรถของคุณให้เกิดความเสียหายนั่นเอง ในกรณีนี้ทางบริษัทประกันของคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิดจึงต้องรับผิดชอบด้วย คำถามก็คือแล้วเราจะเรียกเก็บค่าเสียโอกาสนี้ได้อย่างไรบ้างและจะคำนวณค่าเสียโอกาสนี้อย่างไร
วิธีการคำนวนค่าเสียโอกาส
โดยทั่วไปแล้ว ทางบริษัทประกันมักจะคำนวนเงินค่าเสียโอกาสให้ตามระยะเวลาการซ่อมรถยนต์ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะเป็นระยะเวลากี่วัน คูณด้วยค่าเสียโอกาสที่ทางบริษัทประกันจะเสนอมาให้กับเรา ส่วนตัวของเราผู้เสียหายไม่จำเป็นที่จะต้องยอมรับราคาที่ทางบริษัทประกันได้เสนอมา อาจจะมีการต่อรองกัน เราสามารถเสนอราคาที่เราพอใจได้และทางบริษัทประกันก็จะเจรจากับเราตามแต่จะตกลงกัน
ในกรณีที่ทางบริษัทประกันไม่มีการกล่าวถึงค่าเสียโอกาสในตรงนี้ และปฎิเสธการจ่ายค่าเสียโอกาสให้กับเราซึ่งก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะบริษัทประกันส่วนใหญ่จะคิดว่าคู่กรณีมักไม่รู้ข้อกฎหมายและสิทธิที่จะได้ตรงนี้
สิ่งที่เราควรจะทำเพื่อป้องกันไว้แต่แรกเลย ก็คือ ให้เราถ่ายรูปเหตุการณ์เมื่อรถถูกชนแล้ว ลักษณะการชน ความเสียหายไว้เพื่อกันกรณีคดีพลิกและนำเอกสารการเคลมประกันมากรอกและถ่ายเอกสารทั้งหมดเอาไว้ให้ครบ หรือจะถ่ายรูปไว้ในกล้องเป็นหลักฐานก็ได้ ทั้งใบของเราและคู่กรณี เมื่อนำรถไปซ่อมยังอู่
สิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาด คือ การระบุวันที่เข้าซ่อมให้ชัดเจนและอย่าลืมถ่ายเอกสารเก็บไว้ด้วย เมื่อรถซ่อมเสร็จแล้ว วันที่ไปรับรถให้ทางอู่ระบุตามเอกสารด้วยว่ามีรายละเอียดการซ่อมอะไรบ้าง และระบุวันส่งมอบรถให้กับเราอย่างชัดเจน การมีหลักฐานค่าใช้จ่ายไว้พร้อมจะทำให้เรียกค่าเสียโอกาสตรงนี้ได้ง่ายขึ้น
สิ่งที่เราควรรู้ให้ทันบริษัทประกันในเรื่องการประเมินค่าเสียโอกาส เราควรจะรู้เท่าทันและเป็นฝ่ายเรียกร้องกำหนดค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้นกับเรา อย่าลืมว่าเมื่อรถยนต์ถูกชนและต้องเข้าอู่ อย่างไรเสียเราต้องพบกับความไม่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาอย่างแน่นอนนอกเหนือจากค่าซ่อม
ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทางซึ่งบางคนอาจต้องนั่งแท็กซี่วันละหลายร้อยบาท บางคนต้องลำบากในการนั่งรถสาธารณะหลายต่อเป็นระยะทางไกล ๆ ซึ่งนอกจากค่าใช้จ่ายที่มองเห็นได้เป็นตัวเงินแล้ว ยังมีความเหนื่อยความลำบากและเวลาที่มองไม่เห็นอีก เช่น การต้องตื่นให้เช้าขึ้นกว่าเดิมและการกลับบ้านค่ำกว่าเดิม ต้องเสียเวลาที่จะได้พักผ่อนไป ตรงนี้เราสามารถตีเป็นค่าเสียโอกาสได้ หากปล่อยให้ประกันฝ่ายตรงข้ามตั้งราคาบริษัทประกันย่อมจะกดราคาให้เฉพาะการคำนวณค่าเดินทางเท่านั้น หากใครที่ไม่รู้และไม่คิดให้รอบด้านก่อนก็จะยอมรับเงินในจำนวนนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเรามีสิทธิ์ที่จะได้มากกว่านั้น คิดง่าย ๆ ว่าหากรถเราไม่เสียเรามีความสะดวกสบายและกลับบ้านได้ในเวลาที่กำหนด เขาอาจจะต้องจ่ายค่าแท็กซี่ให้เรานั่งให้เกิดความสะดวกอย่างที่เราเคยมี เราก็เรียกไปในจำนวนเงินค่าแท็กซี่ไม่ใช่ค่ารถสาธารณะ
นอกจากค่าเสียโอกาสในเรื่องของค่าพาหนะต่อวันแล้ว เงินอีกก้อนหนึ่งที่เรายังสามารถเรียกเอาจากบริษัทประกันคู่กรณีอีก ก็คือ ค่าเสื่อมของรถ เมื่อรถเราถูกชนแล้ว รถย่อมจะมีตำหนิ ยิ่งถ้าถูกชนรุนแรงยิ่งเกิดความเสียหายและตำหนิมาก หากนำไปขายต่อมูลค่าที่ได้ราคาที่ควรได้ก็จะลดลง ตรงนี้เราก็สามารถเรียกร้องได้อีกก้อนหนึ่งเช่นกัน