หลาย ๆ ครอบครัวอาจจะมีเวลาจำกัดในการปรุงอาหารและมักเลือกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือซื้อใส่กล่องใส่ถุงกลับบ้าน ทำให้สะดวกสบาย ตัวผู้เขียนก็ชอบวิธีนี้ แต่พอมีลูกก็เริ่มที่จะหันมาปรุงอาหารเอง เลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพเพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและมีความปลอดภัย โดยส่วนใหญ่ก็จะเลือกผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ที่ปลอดสารพิษ หรือซื้อตาม Supermarket ที่มีโลโก้มาตรฐานความปลอดภัย เช่น Organic, เกษตรอินทรีย์, เนื้อหมูไก่ถูกเลี้ยงอย่างปราศจากเคมีเป็นต้น
ส่วนใหญ่มนุษย์แม่ก็จะทำไข่ตุ๋น ข้าวต้มใส่ผักใส่หมูปลา ให้ลูกน้อยรับประทานที่บ้าน หรือถ้ามีเวลาผู้เขียนก็จะทำต้มผัก หรือไข่เจียวเห็ดหอม หุงข้าวสวยร้อน ๆ กินก็อิ่มแล้ว หรือบางทีก็ลวกเส้นหมีกินกับซุปใส่หมูหรือผักตามความสะดวก เรามาดูข้อดีของการทำอาหารกินเองที่บ้านกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
-
สะอาดปลอดภัย
แน่นอนว่าทำกินเองเลือกวัตถุดิบได้ ปรุงสะอาดกว่า ปลอดภัยกว่ากินข้างนอก จานชามก็ล้างสะอาดกว่า แต่ในมุมมองผู้เขียนไปกินข้างนอกหัดเจอเชื้อโรคบ้างก็ดีจะได้มีภูมิต้านทาน
-
ประหยัดเงินกว่า
เป็นที่รู้กันดีว่าการออกไปกินข้าวนอกบ้านนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายมากมาย เช่นค่าเดินทาง ค่าอาหารที่แพงกว่า ค่าบริการ (Service Charge) ซึ่งอยู่ประมาณ 10% ค่าภาษีที่ร้านอาหารจะคิดในบิลอีก (Vat) 7% หรืออาจจะต้องเสียเงินเพิ่มเพราะแวะซื้อของโน่นนี่ที่ไม่ได้วางแผนอีกหลายพัน การกินข้าวที่บ้านไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ประหยัดเงินได้ไปเยอะจริงๆ
-
สร้างสัมพันธภาพกับคนในครอบครัวได้ดี
เนื่องจากอาจจะต้องสอบถามความเห็นว่าวันนี้อยากกินอะไร ออกไปซื้อวัตถุดิบร่วมกัน ทำให้ทราบถึงความต้องการที่ตรงจุด หรือร่วมกันเตรียมอาหารก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดีภายในบ้าน เช่น คุณแม่เตรียมล้างผัก คุณพ่อช่วยทอดปลา คุณลูกช่วยจัดโต๊ะอาหารหรือล้างจาน เป็นต้น
-
คุณแม่บ้านสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างระหว่างอยู่บ้านไปได้พร้อม ๆ กัน (Multi Task)
ยกตัวอย่างเช่น ระหว่างที่นำผักแช่น้ำ คุณแม่ก็สามารถมีเวลาไปเล่นกับลูกได้ หรือสอนหนังสือลูก นอกจากนี้ยังสามารถซักผ้า ตากผ้า เช็ดฝุ่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ไม่เสียเวลาเหมือนออกไปนอกบ้านที่ต้องโฟกัสการดูแลลูกเพียงอย่างเดียว
แต่หลายครั้งที่ครอบครัวก็อยากหาอะไรใหม่ ๆ แก้เบื่อบ้าง อาจจะเป็นโอกาสพิเศษ เช่น วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน เป็นต้น ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ออกไปหาอะไรอร่อย ๆ กินบ้าง ร้านอาหารที่แนะนำสำหรับครอบครัว นั่งกินข้าวได้สบาย ๆ (ตามที่ลองหาจาก website Wongnai.com ก็มีหลากหลายพอสมควร) มีดังนี้
- Anna & Charlie’s Café (ย่านพระราม 3)
- บ้านน้ำเคียงดิน (ย่านพุทธมณฑล สาย 3)
- บ้านกลมกิ๊ก (ย่านเพลินจิต ซอยร่วมฤดี)
- Tuscany Thai Cuisine (ย่านวิภาวดีซอย 32 หรือ พหลโยธินซอย 23)
- สามเสนวิลล่า ราชพฤกษ์
- Chocolate Ville (ย่านนวมินทร์ ตอหม้า 281)
- จุดชมวิวทะเลกรุงเทพฯ (ย่านพระราม 2)
- Umenohana นิฮอนมูระ (ย่านทองหล่อ)
การที่ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านก็มีข้อดีอีกเหมือนกัน เพราะได้เปลี่ยนบรรยากาศ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รอบตัว นอกจากนี้ลูกของเรายังได้เรียนรู้มารยาททางสังคมอีกด้วยว่าในที่สาธารณะเขาควรจะวางตัวอย่างไร เช่น กินข้าวต้องนั่งที่โต๊ะไม่ลุกขึ้นมา ห้ามส่งเสียงดังเวลากินข้าว กินข้าวต้องกินให้หมดรวบช้อนส้อมให้เรียบร้อย หรือ เด็กบางคนเก่ง ๆ สามารถเปิดเมนู เรียกพี่บริการให้มารับออเดอร์ หรือเก็บเงินก็มี สิ่งเหล่านี้เป็นการเรียนรู้ที่ดีในการเข้าสังคม ดังนั้นจึงอยากฝากไว้ว่าไม่ควรจำกัดว่าต้องกินที่บ้านอย่างเดียว ควรมีข้อยกเว้นบ้าง เพื่อเป็นการเปิดหูเปิดตาให้ลูกน้อยได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รอบตัว และเรายังสามารถสอนเขาว่าสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะอาหารมีอะไรบ้าง เช่น จาน ชาม ช้อนส้อม ตะเกียบ ผ้าเช็ดปาก เมื่อเขาได้เห็นของจริงก็จะจดจำได้เป็นอย่างดี