เปิดร้านบุฟเฟต์ ใช้เงินกี่บาท พร้อม 10 ข้อควรรู้ก่อนลงทุน
ธุรกิจร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ โดยเฉพาะแนวปิ้งย่าง ชาบู อาหารญี่ปุ่น และหมาล่า ยังถือเป็นกระแสหลักที่ยังคงมาแรงต่อเนื่องในปี 2568 ที่นอกจากจะตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ชื่นชอบการทานอาหารแบบจุใจ ยังมีประเภทอาหารให้เลือกหลากหลาย รวมถึงราคาที่สมเหตุสมผล ร้านอาหารแบบบุฟเฟต์จึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่หลายคนสนใจ แต่การจะเริ่มต้นเปิดร้านบุฟเฟต์นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีทั้งต้นทุนจำนวนมาก และรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องวางแผนการเงินให้รอบคอบ ในวันนี้เราจะพาไปดูกันว่า เปิดร้านบุฟเฟต์ ใช้เงินกี่บาท และ 10 ข้อควรรู้ก่อนลงทุน
เปิดร้านบุฟเฟต์ 2568 ใช้เงินกี่บาท?
รายการ | ประมาณการต้นทุน (บาท) |
ค่าตกแต่งร้าน | 300,000 – 800,000 |
อุปกรณ์ครัว / เตา / โต๊ะ | 150,000 – 500,000 |
วัตถุดิบล็อตแรก | 100,000 – 300,000 |
ค่าเช่าสถานที่ (ล่วงหน้า 3-6 เดือน) | 150,000 – 500,000 |
ค่าพนักงาน (เดือนแรก) | 50,000 – 150,000 |
ใบอนุญาต/จดทะเบียน | 10,000 – 50,000 |
ระบบ POS / กล้องวงจรปิด | 30,000 – 80,000 |
การประชาสัมพันธ์ร้าน (PR/Marketing) | 20,000 – 100,000 |
รวมเบื้องต้น | 800,000 – 2,500,000 |
*ราคาข้างต้นเป็นการประมาณการณ์แบบคร่าว ๆ ในเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งยังไม่รวมกับปัจจัยอื่นร่วมด้วย อย่างเช่น ขนาดร้าน แบบในการตกแต่ง วัสดุที่เลือกใช้ ประเภทอาหารที่ขาย (แต่ละประเภทจะมีราคาต้นทุนต่างกัน โดยเฉพาะการเก็บรักษา) รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
10 ข้อควรรู้ก่อนลงทุนเปิดร้านบุฟเฟต์
1.เลือกคอนเซ็ปต์ชัดเจน
ควรเลือกแนวทางร้านให้ชัด เช่น ชาบูญี่ปุ่น, หม้อไฟจีนหมาล่า, ปิ้งย่างสไตล์เกาหลี หรือฟิวชั่นบุฟเฟต์แบบครบวงจร เพื่อวางแผนวัตถุดิบ และกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด
2.ทำเลดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ร้านบุฟเฟต์ต้องการ “คนเดินผ่านเยอะ” เช่น ใกล้หอพัก มหาวิทยาลัย แหล่งชุมชน หรืออาคารสำนักงาน เพราะต้องใช้ปริมาณลูกค้าเพื่อคุ้มทุน
3.วางระบบบริหารต้นทุนอาหาร (Food Cost)
ค่าใช้จ่ายวัตถุดิบควรไม่เกิน 35 – 40% ของราคาขาย ควรใช้สูตรบุฟเฟต์แบบมีเวลา (เช่น จำกัด 90 นาที) เพื่อควบคุมต้นทุน
4.ราคาต้องดึงดูด แต่ไม่ขาดทุน
เช่น ชาบูบุฟเฟต์ 299 – 399 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ยังแข่งขันได้ ควรมีตัวเลือกเพิ่มราคาให้ลูกค้าเลือก เช่น พรีเมียมเนื้อวัว หรือซีฟู้ด
5.สร้างจุดขายให้แตกต่าง
เช่น หมาล่าสูตรเฉพาะ น้ำซุปญี่ปุ่นแท้ๆ เนื้อย่างแบบ dry-aged หรือเมนู “เสิร์ฟเอง-ตักเอง” ลดค่าใช้จ่ายบุคลากร
6.จ้างเชฟ หรือใช้วัตถุดิบสำเร็จ?
หากไม่มีประสบการณ์ด้านอาหาร ควรพิจารณาการใช้วัตถุดิบสำเร็จ (เช่น หมูหมักสำเร็จ, น้ำจิ้ม OEM) เพื่อลดปัญหาการควบคุมรสชาติ
7.ควบคุมของเสีย และวัตถุดิบเหลือ
ควรใช้ระบบสต็อกสินค้า, วัตถุดิบหมุนเวียนเร็ว และเน้นใช้ทุกส่วนของวัตถุดิบเพื่อลดของเสีย เช่น ซุปจากโครงไก่ หรือเศษผักทำชาบู
8.การตลาดออนไลน์คือหัวใจ
ร้านบุฟเฟต์ยุคใหม่ต้องพึ่งโลกออนไลน์ ฉะนั้นควรมีช่องทางติดต่อผ่าน Social Network แพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น รวมถึงเป็นช่องทางหลักในการโปรโมตโปรโมชั่นต่าง เช่น โปรเปิดร้านวันแรก ลด 50% หรือ ฟรีน้ำรีฟีล 7 วันแรก เป็นต้น
ร้านใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักเลือกใช้ Influencer ในการรีวิวร้านที่จริงใจ ชอบไม่ชอบตรงไหน ซึ่งเป็นอีกทางประชาสัมพันธ์ที่ได้ผลดี
9.ใช้ระบบจองโต๊ะล่วงหน้า
หากมีจำนวนคนในร้านจำกัด อาจนำระบบการจองโต๊ะล่วงหน้าเข้ามาช่วยบริหารลูกค้าในชั่วโมงเร่งด่วน ลดการรอคิว และเพิ่มประสิทธิภาพการบริการด้านอื่น ๆ
10.เตรียมเงินสำรองไว้หมุน
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ต้องทำคือการเตรียมเงินก้อนสำรองไว้ ไม่ควรใช้เงินทุนหมดตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 3 – 6 เดือน สำหรับค่าเช่า พนักงาน และของสดในช่วงที่ร้านยังไม่คืนทุน
สรุปแล้วการเปิดร้านบุฟเฟต์ โดยเฉพาะแนว ชาบู ปิ้งย่าง หมาล่า และอาหารญี่ปุ่น ที่ดูเหมือนใคร ๆ ก็สามารถทำได้ ก็มาพร้อมกับต้นทุนที่สูงหลักล้านบาท และมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาร่วมอีกมาหมาย อีกทั้งยังต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งเรื่องทำเล การจัดการวัตถุดิบ การบริการ และการตลาด นอกจากนี้หากมีมากกว่า 1 สาขา ก็ยิ่งต้องวางแผนให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น เพราะมีปัจจัยที่ต้องควบคุมดูแลมากขึ้น รวมถึงต้นทุน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และเงินสำรองก็ยิ่งต้องมีเพิ่มไปอีกเท่าตัวด้วยเช่นกัน
สำหรับผู้ที่มีใจรักในธุรกิจอาหาร และพร้อมรับมือกับความท้าทาย ร้านบุฟเฟต์ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนดี และสร้างแบรนด์ได้ในระยะยาว แต่ในขณะเดียวกันหากไม่เป็นไปตามเป้าก็อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ทางการเงินในอนาคตได้เช่นกัน