ช่วงปี 2558 เศรษฐกิจภายในประเทศต่างเริ่มที่จะฟื้นตัวขึ้นภายหลังจากการเกิดเหตุทางการเมือง แต่ก็ยังประสบปัญหาจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศที่ส่งต่อกันมา มีเพียงการลงทุนที่มาจากภาครัฐและภาคการท่องเที่ยวเท่านั้นที่สามารถจะพยุงเศรษฐกิจเอาไว้ได้ ในขณะที่ปี 2559 ปัจจัยเดิมๆ ที่ติดมาจากปี 2558 ยังคงส่งผลกระทบตามมาอยู่เรื่อยๆ อย่างแน่นอน พร้อมกับการเกิดเหตุการณ์ใหม่ที่ถ้าไม่มีอะไรรุนแรงมากนักก็มีการประเมินกันว่าเศรษฐกิจในปี 2559 จะสามารถที่จะเติบโตมากกว่าปี 2558 ขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งนี้ ยังมีการคาดการณ์จากนักเศรษฐศาสตร์ว่าในปี 2559 จะเกิดผลกระทบที่มาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดหรือธนาคารกลางสหรัฐที่ขึ้นมาตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมปี 2558 ที่ถือว่าเป็นการประกาศดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยที่ปีล่าสุดเมื่อ 2549 หลังจากที่เศรษฐกิจของสหรัฐถดถอยมาถึง 9 ปีเต็ม
เมื่อทางเฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ย่อมทำให้เงินทุนที่หมุนเวียนเริ่มที่จะไหลออกเหมือนกับหลายๆ ประเทศ เพียงแต่ความรุนแรงไม่มากนัก เนื่องจากการที่ยังพอมีเม็ดเงินจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรแต่ก็ไม่มากนัก ทำให้ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอยู่เรื่อยๆ โดยจะยังต้องดูทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐต่อไปเรื่องของการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ว่าจะยังมีนโยบายในเรื่องนี้เป็นแบบไหน เพราะถ้ามีการปรับขึ้นดอกเบี้ยบ่อยครั้งหรือมีการปรับที่สูงขึ้นกว่าเดิมก็จะเกิดการสะดุดเม็ดเงินที่ไหลออกจากประเทศต่างๆ กลับไปยังสหรัฐอเมริกามากยิ่งขึ้น แต่ทางนักลงทุนต่างก็พากันเชื่อว่าทางเฟดน่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการขึ้นถี่ๆ หรือแบบทีเดียวรวด เพราะอาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อตัวเศรษฐกิจของทางสหรัฐอเมริกาเองอย่างมาก และจะยิ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงไปอีก
แม้ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของทางสหรัฐอเมริกาจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของทางสหรัฐอเมริกากำลังจะดีขึ้น ซึ่งทางประเทศไทยก็หวังกำลังซื้อจากสหรัฐอเมริกาที่จะมีเพิ่มมากขึ้น และหันกลับมาใช้บริโภคเหมือนเดิม แต่ก็คงจะยากเพราะหลังจากที่ทางสหรัฐอเมริกาได้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจก็มีพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก จึงทำให้ภาคการส่งออกยังต้องชะลอตัว ประกอบกับการที่จีนเองก็มีเกิดสภาวะเศรษฐกิจที่ล้มเหลว จึงทำให้การส่งออกของไทยมีปัญหาเป็นอย่างมาก และยิ่งไปเพิ่มภาระค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงกว่าเดิม
โดยที่มีนักวิเคราะห์คาดการณ์ต่ออีกว่าในปี 2559 จะมี ความผันผวนของค่าเงิน บาทที่โลดโผนมากกว่าปี 2558 เรียกได้ว่าเป็นปีที่สามารถอ่อนค่าลงมาแตะระดับ 40 บาท และก็มีโอกาสที่จะขึ้นมาแข็งค่าที่ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีการวิจัยว่าค่าเงินบาทมีการอ่อนค่าเช่นเดียวกันมาโดยตลอด จะต่างกันก็เพียงแค่ระดับค่าเงินในปลายปี แต่สำหรับในปีนี้เงินบาทจะมีโอกาสทั้งอ่อนค่าลงและแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผู้ที่ส่งออกและนำเข้าในการที่จะป้องกันความเสี่ยงของค่าเงิน
ในสถานการณ์ปกติค่าเงินบาทปลายปีนี้มีโอกาสที่จะอยู่ในระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปัจจัยต่างประเทศคือ ปีนี้จะมีเงินที่ไหลออกจากตลาดใหม่ได้อีก หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ทยอยขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะค่อยเป็นค่อยไป แต่ทางนักลงทุนก็ยังคงมีความกังวลต่อความเสี่ยงในการผันผวนของตลาดเงินโลก โดยในมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของทางประเทศจีนที่คาดว่าจะส่งผลให้บรรดานักลงทุนเข้ามาถือดอลลาร์สหรัฐอันถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ส่วนปัจจัยภายในประเทศยังคงมีแรงกดดันที่จะสามารถทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเพราะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังคงต้องเผชิญต่อปัญหาการเติบโตที่ช้าและถ้าภาคการส่งออกยังคงที่จะหดตัวต่อไป ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านได้มีการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินด้วยการปล่อยให้ค่าเงินอ่อนค่า เพื่อที่จะช่วงชิงความสามารถในการแข่งขันเรื่องของการส่งออก หรือเรียกกันว่าเป็นสงครามของค่าเงิน ก็ยิ่งมีโอกาสที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะสามารถดูแลค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวไปตามทิศทางเดียวกันกับภูมิภาคเอเชียมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็อาจจะเป็นการผ่อนคลายมาตรการทุนเคลื่อนย้ายต่อเนื่องจากที่ทำในปีก่อนมากกว่าการลดดอกเบี้ย
ราคาน้ำมันที่ลดจนอยู่ในระดับที่ต่ำลง ซึ่งก็คาดว่าน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 45 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล จะมีการลดลงในปีก่อนจากระดับราว 50 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยที่เป็นประเทศนำเข้าน้ำมันสุทธิยังคงที่จะเกินดุลบัญชีเดินสะพัด จากการนำเข้าที่ยังคงหดตัว ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพที่มากยิ่งขึ้น ต่างจากเหล่าประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิและพึ่งพาการส่งออกสินค้าต่างๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากดุลบัญชีเดินสะพัดนี้ที่จะลดลงและทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง แต่ถ้าเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด ค่าเงินบาทก็อาจจะเดินมาถึงทางแยก จะอ่อนค่าแรงลงหรือจะวนกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ ทางนักลงทุนก็ต้องมีการตัดสินใจต่อสถานการณ์ที่ผันผวนนี้ให้ดี และถ้าทางจีนก็ลดค่าเงินหยวนลงแรง ในขณะที่การส่งออกของไทยก็ยังหดตัวอย่างต่อเนื่อง ก็จะยิ่งมีแรงกดดันให้ผู้ดำเนินนโยบายออกมาตรการให้เงินบาทต้องอ่อนค่าเพื่อที่จะสามารถประคองเศรษฐกิจ นอกจากนี้ถ้าหากราคาน้ำมันขึ้น แรงจากความไม่สงบในตะวันออกกลางด้วยแล้ว งบการเงินก็จะยิ่งขาดดุล เงินสำรองภายในประเทศก็จะพลอยลดลงไปด้วย ก็จะยิ่งทำให้เกิดสภาวะการเงินที่ไหลออกมามากยิ่งขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมค่าเงินบาทให้อ่อนตัวลงเข้าไปอีก
อ่านเพิ่มเติม : ยุคที่น้ำมันราคาถูกแต่ ทําไมค่าครองชีพสูง อยู่ ?