โลกแห่งโลกาภิวัตน์และความทันสมัยยังสามารถพัฒนาไปได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไร ที่ไหน ก็ต้องมีความสะดวกสบาย รวดเร็วและปลอดภัย เช่นเดียวกันกับ การป้องกันระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ลูกค้าของธนาคารต่างๆ เนื่องจากปัจจุบัน มีการโจรกรรมข้อมูลของบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตต่างๆมากขึ้น ทั้งต่างประเทศและในประเทศไทยเอง ซึ่งเป็นปัญหาที่ยาวนานต่อเนื่องและมีมาเรื่อย ๆ การจัดเก็บข้อมูลของบัตรเอทีเอ็ม/บัตรเดบิตในรูปแบบของแถบแม่เหล็ก ทำให้เกิดช่องโหว่ให้คนร้ายหาวิธีโจรกรรมได้ง่าย ทางแบงก์ชาติจึงได้เดินหน้าออกมาตรการใหม่ ปรับระบบบัตรเดบิต / เอทีเอ็ม เป็นรูปแบบใหม่ เพื่อรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่าเดิม ซึ่งจะมีผลเริ่มต้นใช้ในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป
หากใครที่ได้ติดตามข่าวช่วงนี้อาจจะพอทราบกันไปบ้างแล้ว ซึ่งการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะ ถ้าใครใช้บัตรเครดิตจะคุ้นเคยกันดีกับรูปแบบการจัดระบบข้อมูลของบัตรผ่านตัวชิปการ์ด แต่หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่า ชิปการ์ดคืออะไร ? แล้วระบบจัดเก็บข้อมูลเอทีเอ็มแบบเดิมนั้นเป็นอย่างไร ? ทำไมจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่ วันนี้เรามีคำตอบให้กับทุกๆท่านแล้วค่ะ
บัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตทุกประเภทนั้น เชื่อว่าใครหลายคนก็ต้องทำและมีไว้ในครอบครอง เพื่อการทำธุรกรรมทางการเงินที่สะดวก สบาย จากที่แต่ก่อนเวลาเปิดบัญชีกับธนาคารต่างๆแล้ว จะฝาก ถอน โอน แต่ละทีต้องไปที่สำนักงานและกรอกเขียนข้อมูลเพื่อทำรายการ ซึ่งทำให้ประสบปัญหาในเรื่องของเวลาบ้าง ความยุ่งยากในการเดินทางบ้าง เป็นต้น จึงเกิดเป็นระบบเก็บข้อมูลของลูกค้าในรูปแบบของบัตรเอทีเอ็มขึ้นมา ซึ่งบัตรเอทีเอ็มเหล่านั้น หากสังเกตที่ด้านหลังของบัตรนั้นจะมีแถบที่มีลักษณะสีดำทึบยาว แบบนี้เรียกว่า เป็นบัตรเอทีเอ็มชนิดที่เก็บข้อมูลในรูปแบบของแถบแม่เหล็ก (Magnetic Stripe) ซึ่งเวลาที่เราทำธุรกรรมทางการเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม ในขณะที่เราใช้บัตรนั้นสอดเข้าไปในเครื่อง ข้อมูลที่ถูกบรรจุไว้ที่แถบแม่เหล็กหลังบัตร จะถูกอ่านข้อมูลและรับการเข้ารหัสจากการกดรหัสบนแป้นพิมพ์ที่ตู้ต่อไป เราก็จะสามารถเลือกทำรายการ ฝาก ถอน โอน สมัครบริการ และอื่นๆได้ตามต้องการ
ซึ่งปัญหาของการใช้บัตรเอทีเอ็ม/บัตรเดบิต แบบแถบแม่เหล็กนั้น ก็คือการถูกโจรกรรมข้อมูลจากบัตรของเหยื่อ ซึ่งโจรผู้ร้ายจะทำการติดตั้งเครื่องคัดลอกข้อมูล ไว้ที่ช่องเสียบบัตรการ์ด ซึ่งเราเรียกว่า เครื่องสกิมเมอร์ (Skimmer) ซึ่งรูปร่างของเจ้าเครื่องมือของมิจฉาชีพตัวนี้ จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับช่องเสียบบัตรของตู้เอทีเอ็มเป้าหมาย นอกจากนั้นเหล่าหัวขโมยก็ยังมีการแอบติดตั้งกล้องบันทึกภาพขนาดเล็กไว้ด้านบนของตู้เอทีเอ็ม นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า การกดรหัสบัตรทุกครั้งจึงต้องใช้มือบังรหัสไว้ นั่นก็เพื่อป้องกันการบันทึกภาพในขณะที่เรากดรหัสนั่นเอง เพราะโจรผู้ร้ายจะไม่สามารถทำการโจรกรรมได้ ถ้าหากไม่มีรหัสผ่านของเจ้าของบัตรนั้น การคัดลอกข้อมูลบัตรเอทีเอ็มเหล่านี้ เราเรียกว่า เป็นการ สกิมมิ่งข้อมูล ซึ่งข้อมูลของบัตรเหล่านั้นจะถูกคัดลอกนำไปทำเป็นบัตรเอทีเอ็มใบใหม่ และจะถูกนำไปกดรหัสเพื่อโจรกรรมเงินในบัญชีของเหยื่อต่อไป
อ่านเพิ่มเติม : อย่ามองข้ามภัยจากบัตร ATM
นับวันช่องโหว่ของการกระทำความผิดเหล่านี้ยิ่งมีมาก และหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ซึ่งการป้องกันมาตรการเบื้องต้นนั้น ทางธนาคารจะช่วยตรวจสอบประวัติการกดหรือถอนเงินที่เข้าข่ายน่าสงสัย และทำการติดต่อกับเจ้าของบัตรเหล่านั้นโดยตรงเพื่อรับทราบและหาวิธีการจับตัวคนร้ายดำเนินคดีต่อไป
กรณีของการเปลี่ยนระบบจัดเก็บข้อมูลแบบใหม่ของบัตรเอทีเอ็ม/บัตรเดบิต ในรูปแบบของชิปการ์ด นั้น ได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศ อย่างใน สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งตัวชิปการ์ด นี้ก็คือ แหล่งเก็บข้อมูลขนาดเล็ก ซึ่งระบบการป้องกันภัยจากการโจรกรรมข้อมูลนั้นมีความปลอดภัยกว่าแบบแถบแม่เหล็ก เพราะต้องเข้ารหัสที่มีความซับซ้อน อย่างเวลาที่เราไปซื้อของ ในกรณีที่ชำระสินค้าผ่านบัตรเดบิต หากจำนวนเงินในบัตรเพียงพอต่อการชำระสินค้า ก็สามารถใช้บัตรเข้ารหัสที่เครื่องรับบัตรจากเคาน์เตอร์ ระบบก็จะหักเงินตามจำนวนดังกล่าว ถ้าหากมีการกดรหัสผิดตามจำนวนครั้งที่ได้ระบุไว้ในระบบ ตัวบัตรเอทีเอ็ม/บัตรเดบิต ที่มีชิปการ์ด จะไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการสุ่มกดรหัสและบัตรชิปการ์ดยังยากต่อการปลอมแปลงบัตร อีกด้วย
แม้ว่าจะมีข้อกำหนดให้ทุกธนาคารเริ่มใช้บัตรเอทีเอ็ม/เดบิต แบบใหม่นี้ ดังนั้นแล้ว หากใครที่เปิดบัญชีหลังจาก วันที่ 16 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป จะได้บัตรเอทีเอ็ม/บัตรเดบิตในรูปแบบของชิปการ์ด แต่สำหรับใครที่มีบัตรเอทีเอ็ม/บัตรเดบิต ที่ยังเป็นรุ่นเก่า(แบบแถบแม่เหล็ก) ที่ยังไม่หมดอายุนั้นนั้น ทางธนาคารจะอนุญาตให้สามารถใช้ได้ จนถึง ปี 2562 นี้ ส่วนใครที่มีบัตรที่มีวันหมดอายุนานกว่าระยะเวลาที่กำหนด สามารถติดต่อกับธนาคารเพื่อขอจัดทำบัตรใหม่แบบชิปการ์ดได้ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป ซึ่งนอกจากจะพัฒนาระบบบัตรแล้ว ยังจะมีการเปลี่ยนตู้เอทีเอ็มให้สามารถรองรับการใช้งานบัตรเอทีเอ็มแบบที่มีชิปการ์ดต่อไปได้ในอนาคตอันใกล้นี้
สามารถติดตามข่าวสารต่างๆและบทความดีดีจากเว็บไซต์ของเราได้ที่นี่ ขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านนะคะ สวัสดีค่ะ.
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลข่าว :
https://www.appdisqus.com/2016/04/18/chip-card-atm-thailand.html