แม้การก่อหนี้จะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้มนุษย์สามารถซื้อสิ่งที่จำเป็นหรืออำนวยความสะดวกให้ได้ครอบครองสิ่งของเหล่านั้นได้เร็วขึ้น แต่การสร้างหนี้ก็ต้องเป็นไปตามความเหมาะสมและไม่เกินความพอดี จะได้ไม่เดือดร้อนหรือเกิดปัญหาภายหลัง สำหรับคนที่เป็นลูกหนี้ไม่ว่าหนี้ก้อนเล็กหรือก้อนใหญ่ และยังคงติดกับดักอยู่ในวังวนจนเกินความสามารถในการที่จะผ่อนชำระ หรือที่เค้าเรียกว่าเข้าสู่ช่วงหนี้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านทั่วไป มนุษย์เงินเดือน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรายได้น้อยกว่ารายจ่าย โดยอาจมีการใช้จ่ายในเรื่องที่ไม่จำเป็น และก่อนที่สถานการณ์จะล่วงเลยไปจนถึงการเป็นหนี้เสียแบบหาทางแก้ได้ยาก สิ่งหนึ่งที่คุณเองก็สามารถทำการ แก้ปัญหาหนี้ เหล่านั้นให้ดีขึ้นมาได้ก่อนที่ปัญหาหนี้นี้จะเกินเยียวยา ซึ่งนั่นก็คือ การปรับโครงสร้างหนี้
-
การเจรจาเพื่อขอประนอมหนี้
คุณสามารถเข้าไปขอปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินต่างๆได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการแสดงถึงเจตนาที่ดีและเป็นการแสดงตัวตนที่มีความตั้งใจในการชำระหนี้ของคุณ ซึ่งแนวทางในการเจรจาประนอมหนี้ สามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขอลดยอดหนี้ในบางส่วนลง หรือการขยายเวลาในการชำระหนี้บางส่วน รวมถึง การขอลดวงเงินผ่อนชำระในแต่ละงวด โดยคุณจะต้องทำการขอให้สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยในอัตราปกติที่ไม่ผิดนัด หรือคิดดอกเบี้ยที่ถูกลง นอกจากนี้ลูกหนี้ยังสามารถเจรจาขอหยุดดอกเบี้ยชั่วคราว โดยที่ทางสถาบันการเงินต้องไม่คิดดอกเบี้ยระหว่างที่ผ่อนชำระ รวมถึงมีการลดหย่อนค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับ ในกรณีที่ผิดนัดชำระ ซึ่งยังสามารถทำการขอโอนหลักประกันเพื่อชำระหนี้ได้อีกด้วย
-
แนวทางการแก้ไขการปรับโครงสร้างหนี้
จากรูปแบบของการปรับโครงสร้างหนี้ ที่มีการเจรจาประนอมหนี้ดังกล่าวนั้น ทำให้เห็นได้ว่าลูกหนี้สามารถหาทางแก้ไขปัญหาผ่อนผัน หรือประนอมหนี้ได้หลายรูปแบบ โดยประโยชน์ที่เกิดจากในการปรับโครงสร้างหนี้ก็คือ ทำให้ช่วยลดแรงกดดันในเรื่องของการที่จะกลับไปผ่อนชำระต่อของลูกหนี้ และทำให้ดีต่อสุขภาพจิตโดยที่ไม่ทำให้ลูกหนี้ต้องเครียดและวิตกกังวลเมื่อถูกทวงถาม ซึ่งลูกหนี้เองก็จะได้กลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเงิน เพื่อกลับไปผ่อนชำระ แต่มีบางกรณีการเลือกที่จะเดินไปหาสถาบันการเงินนั้น ก็เพื่อที่จะทำการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อที่จะทำก็ให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง แต่การปรับโครงสร้างหนี้ก็ยังมีข้อจำกัด หรือยังมีข้อเสียอยู่บ้าง อย่างมูลค่าหนี้ที่เพิ่มขึ้น ภายหลังจากที่คุณได้เข้าสู่กระบวน การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ เพราะสถาบันการเงินที่คุณไปติดต่อ อาจจะมีการนำดอกเบี้ย ค่าทวงถาม ค่าปรับ ไปรวมกับยอดหนี้เดิม จึงส่งผลทำให้ได้เป็นยอดหนี้ใหม่ที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นธรรมดาที่เจ้าหนี้จะต้องรักษาผลประโยชน์ตามธรรมเนียมหรือต้องได้ค่าเสียโอกาสของตัวเองบ้าง
ลูกหนี้ที่เหมาะสำหรับจะใช้วิธีการปรับโครงสร้างหนี้หรือการเจรจาประนอมหนี้
การเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้อาจจะทำให้ลูกหนี้บางรายเสียเปรียบในบางกรณี จนทำให้ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้ตามข้อตกลงใหม่ ทำให้เกิดการนำไปสู่กระบวนการฟ้องร้อง เนื่องจากในสัญญาใหม่นั้นมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งถือมีความเป็นธรรมต่อลูกหนี้ก็ตาม แต่การนำหนี้หลายประเภทมารวมกันเป็นสัญญาใหม่นั้น อาจทำให้อายุความยาวขึ้น เพราะหนี้แต่ละประเภทมีอายุความไม่เท่ากัน การปรับโครงสร้างหนี้จริงๆแล้วอาจจะเหมาะกับ ลูกหนี้ที่มีภาระหนี้ สินไม่มาก หรือประกอบธุรกิจส่วนตัวที่จำเป็นต้องรักษาประวัติเครดิตที่ดี ทั้งนี้เพื่อไว้ใช้สำหรับการขอสินเชื่อธุรกิจครั้งต่อ ไป หรือแม้แต่การเป็นหนี้ที่ถูกคิดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมไม่สูงจนเกินไป
ซึ่งหลังจากที่มีการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว วงเงินในการผ่อนชำระแต่ละงวด ในการคืนหนี้ไม่ควรจะเกิน 30 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ เพราะจะทำให้คุณมีภาระหนี้มากจนเกินไปและอาจจะไม่สามารถทำการผ่อนชำระต่อไหว ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทางออกของการปลดหนี้ และลูกหนี้ต้องมั่นใจว่าจะสามารถผ่อนชำระคืนได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ขณะเดียวกันหากมีการปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถช่วยทำให้คุณมีหนี้ที่ลดลงได้ จนทำให้กลายมาเป็นหนี้เพิ่มอีก โดยกระบวนการต่อไปที่สถาบันการเงินจะดำเนิน การก็คือการฟ้องร้อง โดยทุกอย่างก็จะเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย
แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย หากคุณมีความสามารถชำระหนี้ที่เหลือได้ และทางสถาบันการเงินใจดีปรับลดมูลค่าหนี้ให้คุณลงบ้าง คุณก็สามารถเข้าไปเจรจาเพื่อขอลดหนี้ที่ค้างชำระได้ โดยเรียกวิธีนี้ว่าเป็นการทำ Hair cut ซึ่งส่วนใหญ่ สถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้จะเป็นผู้ยื่นข้อเสนอมาให้ และมักจะเป็นหนี้ที่มีการค้างชำระมานาน โอกาสในการที่จะทำให้คุณได้ลดหนี้ จึงขึ้นอยู่กับการเจรจาซึ่งเป็นไปตามนโยบายของสถาบันการเงินนั่นเอง แต่หลังจากการเจรจาลดหนี้ได้แล้ว คุณก็จะต้องมีหนังสือเพื่อยืนยันการปิดบัญชีจากสถาบันการเงินก่อนที่จะกลับไปชำระใหม่ โดยจะมีการส่งเอกสารยืนยันการปิดบัญชีมาให้อีกครั้ง แล้วให้รอเวลาอีกประมาณ 1 ถึง 2 เดือน ให้ลองไปตรวจสอบประวัติจากเครดิตบูโรว่ามีประวัติที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งจากที่คุณกลับมาชำระหนี้ใหม่ก็ต้องสร้างประวัติที่ดี ด้วยการชำระหนี้ตรงเวลา และไม่ควรผิดนัดชำระอีก
อ่านเพิ่มเติม : เมื่อจ่ายหนี้ไม่ไหวแล้ว ขอ ปรับโครงสร้างหนี้ จะดีหรือเปล่า ?