พูดถึงความตาย ถามใคร ๆ ก็กลัวทั้งนั้น แต่ถ้าคุณมีโอกาสที่จะตายซ้ำ ๆๆๆ กันเป็นร้อยเป็นพันครั้ง คุณเลือกที่จะตายแบบไหน จะยอมตายเปล่า ๆ แบบไร้ค่าหรือจะยอมตายเพื่อที่จะประสบผลสำเร็จอะไรบางอย่างในชีวิต
การเกิดมาในวันที่วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือน Groundhog Day ที่ไม่ว่าจะตื่นขึ้นมากี่ครั้งก็จะตื่นขึ้นมาวันเดิม พบเจอเรื่องราวและเหตุการณ์เดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา ฟังดูอาจน่าสนุกและอาจนึกสนุกในแวบแรกว่าอยากลองให้เหตุการณ์สุดแฟนตาซีนี้เกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง นั่นก็เพราะมันจะแก้ปัญหาเงื่อนไขของเวลาไปได้อย่างถาวร เวลาซึ่งมักเป็นปัจจัยที่จำกัดในเกือบจะทุกสถานการณ์ของความเป็นมนุษย์ แต่หากลองคิดดูอีกครั้งก็จะพบว่ามันคงไม่สนุกแน่ ๆ ถ้าเมื่อวานกับวันนี้ รวมถึงวันพรุ่งนี้และวันต่อ ๆ ไปจะเป็นวันเดิม สิ่งที่โตและเปลี่ยนไปมีเพียงตัวเราเท่านั้น
แต่พระเอกฮีโร่ พันโท บิล เคจ ใน Edge of Tomorrow รู้ถึงภารกิจอันใหญ่หลวง ที่ซึ่งมีแต่ตัวเขาเองเท่านั้น ที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยกอบกู้โลกจากเหล่าหุ่นยนต์ร้าย เรื่องราวสุดแฟนตาซีมันส์หยดที่แฝงนัยยะของความพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะก้าวผ่านห้วงความคิดท้อแท้ในวันที่วนซ้ำ ๆ แต่พันโท บิล เคจ ผ่านมันไปได้อย่างรวดเร็ว แถมยังใช้ประโยชน์จากการมีเวลาที่ไม่จำกัดนี้ปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นบทเรียนสำหรับวันพรุ่งนี้และวันผิดพลาดของวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นบทเรียนเพื่อแก้ไขสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันต่อ ๆ ไป
คำถามที่หลายคนสงสัยรวมถึงตัวพันโท บิล เคจ (Tom Cruise) เองด้วย ก็คือ แล้วเมื่อไหร่กันที่เขาจะหลุดพ้นจากวันที่เหมือน Loop หมุนวนกันไม่รู้จักจบสิ้นนี้ นั่นคือ Edge of Tomorrow หรือขอบของวันพรุ่งนี้นั้นอยู่ที่ใดกันแน่ คำตอบนั้นไม่มีใครรู้ แต่แทนที่จะท้อแท้และจมอยู่กับความสิ้นหวัง เขากลับฮึดสู้พยายามเรียนรู้จากสิ่งที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้จากวันนี้ แล้วข้ามผ่านอุปสรรคไปทีละอย่าง เขาต่อสู้เพียงลำพังอย่างอดทนจนเมื่อเขาได้พบกับ ริต้า (Emily Blunt) ทหารฮีโร่หญิงที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน เขาก็รู้ทันทีว่าเขาจะต้องช่วยเธอ เพราะเธอเป็นคนเดียวที่จะช่วยร่วมทำภารกิจของเขาให้ประสบผลสำเร็จได้
น้อยนักที่หนังประเภทสงครามอวกาศยิงกันมันส์แบบทะลุจอจากฮอลลีวู้ดจะมีมิติตัวละครและพล๊อตเรื่องลึก ๆ ที่ผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว Edge of Tomorrow จึงไม่ใช่แค่หนัง Action ที่ดูสนุกแล้วปล่อยผ่านไป แต่เป็นหนังที่คนดูเก็บมาขบคิด และเตือนใจได้อย่างไม่รู้สึกขัดเขิน
นั่นเพราะการที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ประสบผลสำเร็จสูงสุดได้นั้น ย่อมต้องมีอุปสรรคมากมายมีทั้งอุปสรรคปัญหาที่ใหญ่โต และดูเหมือนเราคนเดียวไม่อาจจะก้าวผ่านปัญหานี้ไปได้เลย นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคปัญหาเล็ก ๆ ที่ดูน่าขันอีกมากมาย แต่ถ้าไม่ผ่านอุปสรรคเล็ก ๆ นั้นไป เราก็ไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน การเรียนรู้และแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก (Trial and Error) การฝึกซ้อม การต่อสู้กับความท้อในใจทำให้ผ่านอุปสรรคปัญหาเหล่านั้นไปได้ทั้งเล็กใหญ่ หากเราก้าวข้ามความท้อคือเอาชนะตัวเองได้แล้ว ที่เหลือก็เพียงแต่ใช้ประสบการณ์การเรียนรู้ของเรานั้นเองที่จะช่วยให้เราข้ามพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้
ทัศนคติที่ดีย่อมเผชิญปัญหาได้ดีกว่า แต่อย่างไรที่เรียกว่าทัศนคติที่ดี
หากสมมติตัวเราเป็นพันโท บิล เคจ
- คำถามแรกคือเราจะก้าวข้ามความท้อถอยในการบุกตะลุยทำสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหนทางไปสู่ผลสำเร็จของภารกิจนั้นไปได้นานแค่ไหน
- คำถามที่สอง เราจะกล้าหาญและอดทนลองผิดลองถูกกับสิ่งที่ทำ ที่ถ้าพลาดคือตาย ได้มากพอหรือไม่
- คำถามที่สาม เมื่อถึงเวลาที่เผชิญกับความจริงที่เป็นอุปสรรคสูงสุดที่พลาดไม่ได้อีกแล้ว เราจะรวบรวมสติและใช้ทักษะที่ได้เรียนรู้มาทั้งหมดจากอุปสรรคในอดีต นำมาแก้ปัญหาและก้าวผ่านอุปสรรคครั้งสุดท้ายนี้ไปได้หรือไม่
โลกความจริงอาจไม่โหดร้ายดุดันแบบในภาพยนตร์ แต่ความยากความหินนั้นคงไม่แพ้กัน
เช่น ถ้าหากไม่สามารถผลักดันยอดขายให้สูงขึ้นบริษัทจะต้องปิดตัว ทั้งที่รู้ว่าสภาพเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและเศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะถดถอย แทบจะคิดหาทางออกในการเพิ่มยอดขายไม่ได้เลย หากคิดว่าจบ มันก็จบลงเดี๋ยวนั้น เพราะมันมีเหตุให้โทษอยู่แล้ว แต่หากความเป็นความตายของเราขึ้นกับความอยู่รอดของบริษัท การตั้งสติใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีตคิดและวิเคราะห์จริง ๆ เราอาจเห็นทางออกจากช่องว่างของกระบวนการในอดีตที่เราไม่เคยใส่ใจและจุดนั้นอาจเป็นทางรอดของบริษัท ไม่ว่าผลจะดีหรือไม่ แต่การได้พินิจพิจารณาด้วยปัญญานั้น สามารถก่อให้เกิดกระบวนทัศน์ใหม่ ๆ และเกิดการต่อยอดจากความคิดนั้น ๆ ได้อีกมากมาย หนึ่งในความคิดที่ต่อยอดออกมานั้น อาจเป็นหนทางในความสำเร็จนั่นเอง