ความอยากมีอยากได้ของคนส่วนใหญ่ไม่สิ้นสุดเพื่อหาสิ่งที่จะมาอำนวยความสะดวกสบายให้กับชีวิต โดยขาดความรู้เรื่องการเงินส่วนบุคคล โดยเงินเป็นสื่อกลางในการซื้อสิ่งของใช้ต่างๆ ความรู้เรื่องการใช้เงินเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรใส่ใจให้มาก เพราะอาจส่งผลต่อฐานะการเงินของคุณในอนาคต ที่มีสาเหตุมาจากนิสัยการใช้เงินเกินรายได้ ทำให้ใช้เงินอย่างไม่ระมัดระวังจนต้องเป็นหนี้สิน แล้วทำให้เราเกิดความยากจนตามมา ไม่มีใครอยากให้เกิดกับตัวเรา ประเภทหนี้สินที่ทำให้เกิดความยากจนตามมา และวิธีการแก้ปัญหา ที่แตกต่างกันแต่ละประเภท อาจจะแบ่งได้เป็นประเภทดังนี้
1. หนี้สินที่จำเป็น ต้องซื้อมาใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ส่วนใหญ่ก็เป็นปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิตของเรา เช่น
- หนี้จากการซื้อบ้านที่อยู่อาศัย
ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีราคาสูงเป็นล้านบาทขึ้นไป ต้องกู้เงินสินเชื่อบุคคลจากธนาคาร ซึ่งก็มีสินเชื้อระยะยาวและใช้ระยะเวลาชำระหนี้นานหลายปี เสียดอกเบี้ย ดอกก็มีหลายแบบให้ตามรายได้ของเรา เราก็ลองประเมินว่ารายได้เรา ณ ปัจจุบันเงินเดือนเท่าไร พอไหม อีกกี่ปีข้างหน้าเราก็เงินเดือนมากขึ้นก็มีดอกเบี้ยหลายแบบเราเลือกได้ให้พอกับค่าใช้จ่ายทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วย เมื่อเราผ่อนไปสักระยะหนึ่งเราก็ขอยืนเรื่องรีไฟแนนซ์ได้อีกเพื่อให้ลดดอกเบี้ยลงได้อีก
- หนี้ที่เกิดจากการเจ็บป่วยจากโรคภัยต่างๆ
ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเสียค่าใช้จ่ายทีละมากๆ ถ้าเป็นโรครื้อรัง ที่รักษาไม่หายก็ต้องใช้เงินหลายครั้งรวมกันก็เป็นจำนวนมาก ถ้าท่านเป็นข้าราชการเข้าโรงพยาบาลของรัฐก็ไม่ต้องเสียค่าใช้ใช้ใดๆ ใช้วิธีจ่ายตรงกับกรมบัญชีกลาง โดยท่านไม่ต้องเสียเงิน คือหลวงออกให้หมด ถ้าเป็นประเภททำประกันสังคมก็เข้าโรงพยาบาลที่เราแจ้งกับประกันสังคมไว้ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ได้เป็นทั้งสองอย่างก็เสียเต็มราคา เข้าโรงพยาบาลรัฐบาลก็ถูกหน่อย แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนแล้วละก็ ค่าใช้จ่ายยิ่งจะมากขึ้น ท่านก็เลือกวิธีที่เสียค่าใช้จ่ายในราคาถูกได้
- หนี้จากการเช่าซื้อรถยนต์
ซึ่งผู้เช่าซื้อต้องรับภาระดอกเบี้ยต่อเดือนที่จะต้องผ่อนส่ง ซึ่งก็ไม่น้อยเลย สำหรับใครที่ไม่มีเงินทุนสำรองจริงๆ อาจจะเดือดร้อนจากหนี้ส่วนนี้ได้ไม่น้อยเลยล่ะ
2. หนี้สินที่ใช้ในลงทุน อาจก่อให้เกิดรายได้มากขึ้น ในการลงทุนมีหลายแบบซึ่งแต่ละแบบมีความเสี่ยงไม่เท่ากัน ถ้าเป็นลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยก็จะได้ผลตอบแทนน้อย ถ้าเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงก็อาจให้ผลตอบแทนมาก แต่ก็อาจขาดทุนมากก็ได้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการในการลงทุนต่างๆ เช่น
- กู้เงินสินเชื่อเพื่อทำธุรกิจต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น SME ธุรกิจการก่อสร้าง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีสินเชื่อระยะสั้น ระยะปานกลาง ระยะยาว การกู้เงินสินเชื่อก็ควรกู้กับธนาคารจะเป็นการดีกว่า เพราะมีระบบเงินที่ดีมีความมั่นคงมากกว่าการกู้สินเชื่อที่อื่นๆ แต่การกู้เงินสินเชื่อกับธนาคารใช่ว่าจะได้รับการอนุมัติจากธนาคารเสมอไป ถ้าท่านไม่มีคุณสมบัติหรือหลักประกันที่ครบถ้วยก็ยากที่จะได้รับการอนุมัติ สิ่งที่ธนาคารส่วนดูก็มีบัญชีเงินฝากเพื่อดูประวัติทางการเงินของเรา ดูเรื่องเกี่ยวกับแบล็กลิสต์ของการใช้บัตรเครดิตต่างๆ เรื่องของการสั่งจ่ายเช็คเด้งก็จะมีประวัติอยู่ รวมถึงต้องมีหลักประกันต่างๆ เช่นที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ และเอกสารที่ธนาคารต้องการแนบเพื่อยื่นเรื่องขออนุมัติเชื่อวงเงินต่างๆ
3. หนี้สินจากความฟุ้งเฟ้อ ได้แก่ ซื้อของใช้สิ้นเปลืองโดยสาเหตุเกินความจำเป็นในราคาแพงเกินรายได้ของเราไปมาก โดยใช้บัตรเครดิต แล้วไม่มีความสามารถในการใช้หนี้ ส่วนใหญ่ที่เป็นปัญหามากเช่น
- หนี้จากบัตรเครดิต
ที่ธนาคารออกให้ผู้ถือบัตรไปใช้จ่ายซื้อสินค้าต่างๆ ในวงเงินแตกต่างกันไป โดยธนาคารจะเป็นผู้จ่ายเงินก่อนล่วงหน้า คือบัตรสามารถใช้แทนเงินสดได้ กับร้านค้าที่รับบัตรเครดิตกับธนาคารนั้นๆ การใช้บัตรเครดิตจะมีค่าธรรมเนียม และถ้าผิดนัดจะเสียดอกเบี้ยสูง แต่ด้วยการที่บัตรเครดิตนั้นสามารถสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้เป็นอย่างมาก คนส่วนใหญ่จึงยังคงนิยมที่จะทำบัตรเครดิตกันนั่นเอง
- หนี้จากบัตรกดเงินสด
โดยสมัครกับธนาคาร แล้วธนาคารก็จะอนุมัติวงเงินให้กดเงินที่ตู้ ATM ก็จะมีดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมคล้ายกับบัตรเครดิตแต่ต้องกดเงินกับตู้ ATM เท่านั้น อีกทั้งค่าธรรมเนียมในการกดแต่ละครั้งก็ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งการใช้บัตรกดเงินสดนั้น หากใช้ให้เป็นก็จะเกิดประโยชน์อย่างมากมาย แต่หากใช้ไม่เป็นก็อาจเกิดผลเสียได้เช่นกัน
การกู้หนี้ยืมสินไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง จะเห็นว่าดอกเบี้ยมีพลังสามารถทำให้คนล้มละลายได้ถ้ามีหนี้สินมากมายจนไม่สามารถชำระได้ ท่านอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ทางที่ดีไม่เป็นหนี้โดยการกู้เงินดีกว่า ซึ่งหากท่านต้องการที่จะหลุดพ้นจากความจนก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่จัดการวางแผนการเงินเสียใหม่ พร้อมทั้งมองหารายได้เสริม เพื่อนำมาผ่อนเบารายจ่ายในบ้าน แค่นี้ก็จะทำให้คุณสามารถ พิชิตความจน ได้อย่างง่ายดายกันแล้ว แต่ย้ำว่าในระยะแรกอาจต้องมีความอดทนสักหน่อย เพื่อบังคับตนเองไม่ให้ใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยแบบแต่ก่อนนั่นเอง