เรื่องราวของแอร์โอสเตสสาวที่ผันตัวเองจากอาชีพนางฟ้าที่เป็นอาชีพที่หญิงสาวหลายคนใฝ่ฝันกันมาทำการเกษตรบนที่ดินของครอบครัว ด้วยการปลูกผักปลูกหญ้า ดำเนินชีวิตแบบวิถีพอเพียงที่เธอบอกว่าทุกวันนี้เธอมีความสุขมากแม้จะมีรายได้ไม่มากเหมือนเคย เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจไม่น้อย เป็นกรณีศึกษาและเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คนที่อยากคิดริเริ่มทำธุรกิจเป็นของตนเอง
“เปิ้ล พภัสสรณ์ จิรวราพันธ์” ได้ให้สัมภาษณ์แบ่งปันประสบการณ์ของเธอผ่านทาง เวปไซด์ผู้จัดการ เปิ้ลปัจจุบันอายุ 40 ปี เรียนจบปริญญาตรีบริหารธุรกิจ เอกการจัดการด้านโรงแรม จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เริ่มทำงานครั้งแรกกับโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล จนมาสอบได้เป็นแอร์โอสเตสที่สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ และเป็นแอร์โอสเตสอยู่ถึง 7 ปี ก่อนที่จะเริ่มมีปัญหาสุขภาพปวดหลัง เลยเปลี่ยนอาชีพมาเป็นพนักงานประจำออฟฟิศ สุดท้ายก็เบื่อเป็นโรคออฟฟิศซินโดร์มต้องนั่งหน้าคอมพ์ทั้งวัน ปัจจุบันเลยตัดสินใจผันตัวมายึดอาชีพเกษตรอินทรีย์ เรียกเธอได้เต็มปากว่าเป็นเกษตรกรเต็มตัว นับตั้งแต่วันลาออกจากพนักงานประจำจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 3 ปี แล้ว
เปิ้ลเผยว่าเธอไม่เคยเสียใจที่ก้าวเข้ามาในอาชีพนี้ เพราะเป็นอาชีพที่เธอรักและมีความสุขกับมัน เธอบอกว่าเราจะหาว่าอาชีพที่เรารักนั้นคืออะไรได้ก็จากการที่เราสามารถนั่งทำอะไรได้ทั้งวันโดยที่เราไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อเลย และอยากศึกษาเรียนรู้พัฒนาต่อยอด นั่นแหละคือสิ่งที่เรารัก ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เรารักหรือชอบแล้ว ความรู้สึกก็จะไม่เหมือนกับเรากำลังทำงานอยู่ และเราก็จะมีความสุขในทุก ๆ วัน
เปิ้ลแนะนำว่าคนที่จะลาออกมาทำอะไรแบบเธอนั้น ควรจะต้องมีเงินเก็บสักก้อน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงที่เริ่มทำธุรกิจที่อาจจะยังไม่มีรายได้ และต้องศึกษาหาความรู้ในเรื่องธุรกิจที่เราสนใจจะทำแบบเชิงลึก เหมือนที่เธอได้คำตอบว่าสิ่งที่เธอรักคือธรรมชาติ เธอเลยไปเข้าอบรมสัมมนาเรื่องการปลูกผักออร์แกนิก ตั้งแต่ยังทำงานประจำอยู่เลย และได้เข้าร่วมโครงการต้นกล้าคืนถิ่นที่จะมีปราชญ์ชาวบ้านมาให้ความรู้เกี่ยวกับวิถีเกษตรอินทรีย์ ไปเชียงใหม่เรียนเรื่องปลูกบ้านดินกับคุณโจน จันได และยังได้เข้าอบรมสัมมนากับมูลนิธิข้าวขวัญเกี่ยวกับเรื่องการปลูกข้าวอีกด้วย
เปิ้ลเริ่มหาความรู้ตั้งแต่ยังทำงานอยู่และลองทำตามฝันด้วยการใช้พื้นที่หลังบ้านเป็นแปลงทดลองในการปลูกก่อน โดยที่ยังไม่รู้ว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร หลังจากนั้นเมื่อเริ่มมีความรู้เกี่ยวกับการเกษตรมากขึ้น ก็ได้มีโอกาสไปทำเกษตรอินทรีย์แบบจริงจังในที่ดินของครอบครัวใน จ. สระบุรี และนั่นก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งสำคัญ เปิ้ลเริ่มจากการทำเกษตร 2 ไร่ก่อน เริ่มจากการปลูกข้าวโพดพอเก็บเกี่ยวเสร็จก็ทำการไถกลบเตรียมดินเพื่อปลูกข้าวต่อ นอกจากยึดหลักเกษตรอินทรีย์แล้ว เปิ้ลยังยึดหลักอนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นบ้านด้วย การปลูกข้าวเลยเลือกปลูกพันธุ์ไร่เหลืองดง เป็นพันธุ์พื้นเมืองที่ต้องการน้ำน้อยเหมาะกับลักษณะดินในที่ที่มีอยู่ด้วย
เปิ้ลเคยใฝ่ฝันอยากมีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเองและก็สามารถทำได้สำเร็จภายใต้แบรนด์ OrganicSpace Thailand เป็นผลิตภัณฑ์ของใช้ที่ใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น สบู่ออร์แกนิคที่ทำจากน้ำมันมะพร้าว น้ำมันละหุ่ง โดยใช้ผลิตผลประเภทตำลึงหรือมะเฟืองที่ปลูกมาเป็นส่วนผสมในสบู่ด้วย และมีแชมพูที่ผลิตจากสมุนไพร ส่วนช่องทางการจำหน่ายมีทั้งทางหน้าเพจเฟซบุ๊กและบูธร้านในงาน Organic and natural expo Thailand
นอกจากนั้นยังทำแบรนด์เสื้อผ้าด้วยโดยร่วมมือกับชุมชนวิสาหกิจทางภาคเหนือ โดยออกแบบแล้วให้ชาวบ้านย้อมผ้า ตัดเย็บแล้วส่งมาจำหน่ายโดยใช้แบรนด์ว่า wear me natural เสื้อผ้าจะขายผ่านทางอินสตาแกรมมีทั้งลูกค้าชาวไทยและเริ่มมีคนญี่ปุ่นสนใจมากขึ้น
เรื่องของรายได้เปิ้ลยอมรับว่ารายได้ปัจจุบันไม่ได้มากเท่ากับสมัยที่ยังทำงานประจำ แต่ก็ถือว่าอยู่ได้และพอใจ เพราะพอเปิ้ลเลือกที่จะมีชีวิตแบบนี้ก็มีความสุขกับงานที่ทำ วิถีชีวิตก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปด้วย จากตอนทำงานประจำมีเสื้อผ้าเต็มตู้ ทุกเสาร์อาทิตย์ต้องออกไปทานข้าวกับเพื่อนที่ร้านอาหารสุดหรู ถึงตอนนี้แค่เสื้อผ้าธรรมดาไม่กี่ตัวเปิ้ลก็รู้สึกว่ามันเพียงพอ ทำกับข้าวทานกันเองในครอบครัว โดยใช้วัตถุดิบที่เราเป็นคนปลูกเองกับมือ ทั้งประหยัด อร่อย สะอาดและสุขใจ มันมากเกินกว่าที่จะคิดเป็นตัวเงินออกมา ส่วนคนที่ทำเกษตรแล้วขาดทุนหรือเป็นหนี้นั้น เปิ้ลแนะนำว่าเป็นเพราะไม่ได้ทำเกษตรอินทรีย์ทำให้ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมีหรือยากำจัดศัตรูพืชที่มีราคาแพง หากหันมาทำ เกษตรอินทรีย์ ก็จะมีกำไรมากขึ้น เพราะต้นทุนน้อยลง แถมยังขายได้ราคาดีเพราะเป็นที่นิยมมากขึ้น
สิ่งที่ทำให้เปิ้ลมีความสุขในทุกวันเป็นความอิ่มใจที่ไม่เคยได้รับในช่วงที่ทำงานประจำ เปิ้ลยกตัวอย่างถึงข้างบ้านที่แทบไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยพูดคุยกันเลย แต่พอมาทำเกษตรมีการแบ่งปันผักที่ปลูกให้ข้างบ้าน เขาก็เอาอะไรอะไรมาให้เรา และมีโอกาสได้แบ่งปันความรู้ที่มี ไปสอนเด็กนักเรียนบ้าง คนพิการบ้าง ทั้งการปลูกผัก การทำโยเกิร์ต เป็นการให้โดยที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน
ประสบการณ์ชีวิตของคุณเปิ้ลถือเป็นตัวอย่างหรือกรณีศึกษาที่ดีมาก ๆ สำหรับคนที่ทำงานประจำแล้วอยากหันมาทำธุรกิจเป็นของตัวเอง คุณเปิ้ลได้เล่าเรื่องราวและมุมมองอย่างละเอียดในทุก ๆ ด้าน ทำให้ทราบว่าจะต้องเตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง กว่าจะประสบความสำเร็จต้องอาศัยระยะเวลาและความอดทนมากขนาดไหน แต่การค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าว ไม่ใจร้อนก้าวกระโดด ความสำเร็จที่ใฝ่ฝันก็จะรอเราอยู่ข้างหน้าไม่ไกล
อ้างอิง
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9590000034932