ถ้าหากพูดถึงประเทศปากีสถาน คุณนึกถึงอะไร ? คุณอาจจะนึกภาพถึง แขกผิวขาว สวมเสื้อผ้ามิดชิดตามแบบฉบับของชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ถ้าพูดถึงประเทศปากีสถานบางคนก็อาจจะนึกถึงความวุ่นวาย ความไม่สงบ สงครามกลางเมือง ระเบิดพลีชีพ สิ่งที่น่ากลัว แต่ที่จริงแล้วประเทศปากีสถานเป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าสนใจมาก มีดินแดนอยู่ในแถบตะวันออกกลาง มีพรมแดนติดกับอิหร่าน อัฟกานิสถาน จีน และ อินเดีย เป็นอีกหนึ่งประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน และตกเป็นข่าวในเรื่องของการมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง
แม้ว่าในปัจจุบันปากีสถานอาจจะเป็นที่รู้จักในสายตาชาวโลกในเชิงลบ ในแง่ของการก่อการร้ายและความไม่สงบอยู่ตลอด แต่ปากีสถานนั้นถือว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนอยู่บ้างเหมือนกัน เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่า ไทยจะเริ่มมีการเจรจาทำข้อตกลงเปิดการค้าเสรีกับปากีสถาน โดยเป็นข้อตกลงการค้าแบบ FTA ในรอบที่สอง สืบเนื่องจากปีที่แล้ว โดยประเทศไทยเองจะเดินหน้าเจรจาในวันที่ 25-27 มกราคม พ.ศ. 2559 นี้ เพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้าระหว่างไทยกับปากีสถาน หลังจากกรอบการเจรจาเมื่อปีที่แล้วนั้น ได้เจรจาข้อตกลงทางการค้าในสินค้า อันได้แก่ สินค้าส่งออกและนำเข้า การบริการด้านการท่องเที่ยว การบริการด้านสุขภาพ การแพทย์ เครื่องมือแพทย์ ยารักษาโรค รวมไปถึงคลินิกทันตกรรมและเสริมความงามต่างๆด้วย การลงทุนจะเป็นการลงทุนในส่วนของโรงพยาบาล ที่ไทยต้องการเจาะตลาดสายสุขภาพ นั่นก็เพราะว่า คุณภาพชีวิตของชาวปากีสถาน การสาธารณสุขยังขาดแคลนและไม่ทั่วถึง การลงทุนสร้างโรงพยาบาล,คลินิกต่างๆ ในพื้นที่ไม่ใช่เมืองใหญ่ เป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนของไทยได้เข้าไปลงทุนในส่วนนั้นๆได้มากขึ้น อีกอย่างประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงของเราอย่าง ประเทศจีน ศรีลังกา อินโดนีเซียและมาเลเซียเอง ก็ได้บรรลุข้อตกลงทำสัญญาการค้าเสรีกับปากีสถานไปแล้วนั่นเอง
แล้วถามว่าการที่ ไทยเจรจา FTA กับปากีสถาน นั้น ไทยจะได้ประโยชน์อะไร จะสามารถยกระดับเศรษฐกิจของไทยให้รุดหน้าขึ้นกว่านี้อีกหรือไม่ ?
ถึงแม้ว่าปากีสถานจะเป็นประเทศที่มีปัญหาความไม่สงบภายในประเทศอยู่บ่อยๆ ไทยเองได้ทราบถึงความไม่มั่นคงตรงจุดนี้ดีและเข้าใจว่า การที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศปากีสถานนั้น อาจจะเสี่ยงในเรื่องของความไม่ปลอดภัยอยู่บ้าง แต่ที่บอกว่าตลาดเศรษฐกิจในปากีสถานเป็นที่น่าสนใจก็เพราะ เป็นแหล่งของทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำมัน และประชาชนกว่า 180 ล้านคนในประเทศ ถือว่าเป็นตลาดที่มีผู้บริโภคขนาดใหญ่ ประเทศไทยเองถึงแม้ว่าจะไม่เข้าไปลงทุนโดยตรง เพื่อลดความเสี่ยง ก็สามารถเจาะตลาดด้านการส่งออกและนำเข้า เพราะไทยก็ยังต้องพึ่งพิงการส่งออกเพื่อหารายได้เข้าประเทศอยู่แล้ว จากที่ไทยมีฐานการส่งออกผลผลิตไปยังประเทศในเอเชีย ยุโรป อเมริกาและอื่นๆ สภาวะตอนนี้ไทยมีคู่แข่งมากมาย อย่างข้าวก็โดนเวียดนามแซงนำหน้าไปแล้ว การที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่รอดได้ คือต้องหาตลาดใหม่ในการกระจายสินค้าและพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาประเทศคู่ค้าทั้งเก่าและใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้แข็งแกร่งทัดเทียมประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ
การดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจากปากีสถานก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ประเทศไทยเองก็เป็นศูนย์กลางการติดต่อกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่แน่ว่าการเชื่อมสัมพันธ์กับปากีสถานในครั้งนี้ อาจจะช่วยให้ไทยเองได้เจอลู่ทางสร้างประตูสู่การกระจายสินค้าไปยังเอเชียกลาง,ตะวันออกกลาง,และเอเชียใต้ได้ สินค้าของไทยนอกจากพวกสินค้าเกษตรที่ส่งออกเป็นรายได้หลักๆแล้ว ยังมีสินค้าที่เป็นชิ้นส่วนต่างๆ อุปกรณ์รถยนต์ หรือสินค้าจำพวกเคมีภัณฑ์ฯ เป็นต้น การบริการ ทำสปา โรงแรม เน้นการท่องเที่ยวก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มได้ ส่วนการบริการทางด้านการแพทย์ อย่างที่บอกว่าถึงแม้เราจะไม่สามารถเข้าไปลงทุนโดยตรงได้ อันเนื่องด้วยข้อจำกัดทางการค้าต่างๆนั้น เราก็สามารถพัฒนาการแพทย์ของเราให้มีความเป็นสากลและมีคุณภาพได้ ซึ่งเชื่อว่าบุคลากรทางการแพทย์ของไทยก็ไม่ได้แพ้ชาติใดในโลก
เมื่อข้อตกลงของการทำ FTA นั้นสำเร็จ ไทยอาจจะจับมือกับปากีสถานเพื่ออนุมัติงบลงทุน ส่งเสริม สนับสนุน งานวิจัย เพื่อนำไปพัฒนาวงการแพทย์และสาธารณสุข คิดค้นยารักษาโรค เครื่องมือทางการแพทย์ต่างๆ ตามความเหมาะสมต่อไปในอนาคต
นอกจากปากีสถานจะเป็นตลาดใหม่ของไทยแล้ว ไทยเองก็ยังสามารถเป็นตลาดใหม่ของปากีสถานเช่นเดียวกัน การแลกเปลี่ยนติดต่อซื้อขายย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้นไทยเอง เมื่อภาครัฐให้การต้อนรับตลาดใหม่ ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการ,ผู้ผลิตสินค้า จะได้ขยายการค้าออกไปและเป็นการหาช่องทางในการผลิตสินค้าที่มีความหลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น โดยสินค้าทางด้านเกษตรกรรมก็ยังถือว่าได้เปรียบอยู่ ส่วนสินค้าในประเภทอื่นๆก็คงต้องรอดูกันต่อไปยาวๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่ที่คนของเราแล้วว่า จะสามารถตีตลาดใหม่นี้ได้แค่ไหน เพราะการค้าระหว่างประเทศนั้นขึ้นอยู่กับภาครัฐของไทยเราเองด้วย ว่าจะให้การสนับสนุนมากน้อยเพียงใด หากทำการเจรจาลดภาษี รวมไปถึงข้อจำกัดอื่นๆได้ ก็ถือว่ายังมีความหวังที่ผู้ประกอบการไทย ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ สามารถเดินหน้าทำการค้าต่อไปได้ ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆฝ่ายช่วยกันนั่นเอง