ช่วงที่ผ่านมาถือเป็นช่วงคึกคักของตลาดซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะคนที่มีการลงทุนในทองคำต่างก็ยิ้มหน้าบานกันไปเป็นแถว เพราะราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจากช่วงต้นปีที่ยังไม่ถึง 20,000 บาท ขึ้นมาเป็นเกือบ 23,000 บาทในเดือนกรกฎาคมล่าสุดนี้ หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าขึ้นมากว่า 15% เลยทีเดียว
นับย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2555-2556 ราคาทองคำเคยขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่เกือบ 26,000 บาท กันมาครั้งหนึ่ง ช่วงก่อนหน้านั้นเป็นช่วงที่การลงทุนในทองคำถือว่าคึกคักอย่างมาก ก่อนที่จะค่อย ๆ แผ่วและนิ่งไปนานกว่า 2 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจของโลกที่ต่างก็เข้าสู่ภาวะถดถอยกันอย่างหนัก โดยเฉพาะประเทศจีนที่เคยเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ก็เริ่มแสดงตัวเลขการเติบโตที่ลดลง ถือเป็นการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 13 ปีของจีน ซึ่งก็ส่งผลกับราคาทองคำ เนื่องจากจีนถือเป็นผู้ลงทุนในทองคำเป็นอันดับแรก ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้นช่วงนั้นยังมีข่าวธนาคารกลางของยุโรปบางประเทศจะมีการนำทองคำสำรองออกมาขายเพื่อพยุงเศรษฐกิจในประเทศเอาไว้ ทำให้คนต่างก็กังวลว่าราคาทองคำจะลดต่ำลง ก็เลยรีบขายทำกำไรกัน ทำให้ราคาทองคำยิ่งลดลงเร็วกว่าและมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มีปัจจัยอะไรที่จะช่วยให้ราคาทองกลับมายืนที่จุดสูงสุดที่เคยเมื่อปี 2555 ได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตของประเทศในยูโรโซนที่มีปัญหาในเรื่องหนี้สินกันอยู่หลายประเทศ สำหรับสหรัฐอเมริกาเองก็มีสัญญาณของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอยู่บ้าง ทำให้มีทรัพย์อย่างอื่นมีความน่าลงทุนมากกว่าทองคำ เช่น ตลาดหุ้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็อยู่ในระดับต่ำคงที่มาตลอด จึงไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันอะไรให้กับนักลงทุนต้องเลือกลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้งพอนักลงทุนแต่ละคนมีการคาดการณ์ว่าราคาทองคำน่าจะยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นที่มีโอกาสได้กำไรมากกว่า นี่เป็นเหตุผลโดยรวมที่ทำให้ราคาทองคำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อยู่กับที่มีการผันผวนขึ้นลงบ้างเล็กน้อยตามปัจจัยสภาวะทางเศรษฐกิจเท่านั้น
จนมาถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 ราคาทองคำก็มีการปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดส่งสัญญาณถึงการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงกองทุนทองคำรายใหญ่ของโลก หรือ SPDR ได้มีการทยอยเก็บสะสมทองคำเพิ่มขึ้นและราคาน้ำมันที่ดิ่งลงจากผลของปริมาณน้ำมันที่ล้นตลาดรวมถึงประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ อย่างอิหร่านก็มีแผนในการลดการผลิตน้ำมันลง ทำให้ยิ่งกดดันราคาน้ำมันให้ลดต่ำลงไปอีก การที่ราคาน้ำมันมีความผันผวนก็ได้ส่งผลไปยังการลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนไม่แน่ใจจึงเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างทองคำไว้ก่อน ส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกไตรมาสแรกของปี 2559 ทำสถิติปรับเพิ่มสูงสุดในรอบ 30 ปี เปรียบเทียบนับย้อนหลังไปตั้งแต่ ปี 2529 อีกทั้งประเทศจีนเองก็เริ่มหันกลับมาซื้อสะสมทองคำเพิ่มมากขึ้น
ไตรมาสที่ 2 ของปี 2559 ราคาทองคำก็เรียกได้ว่ายังคงมีความผันผวนแต่ก็ยังรักษาระดับใกล้เคียงเดิมไว้ได้ จนมาถึงช่วงเดือนมิถุนายน 2559 จุดที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปอีกครั้งก็เป็นเรื่องของผลการลงประชามติในการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร เมื่อผลการลงประชามติออกในวันที่ 24 มิถุนายน 2559 ราคาทองคำในตลาดโลกได้พุ่งขึ้นไปที่ 1,293 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ อีกทั้งเงินบาทก็อ่อนตัวลงอย่างมากในวันนั้น ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศพุ่งสูงขึ้น มีการประกาศการปรับราคาทองคำขึ้นถึง 2 ครั้ง 250 บาท 300 บาท เป็น 550 บาท ในเช้าวันดังกล่าว
ผลจากการลงประชามติของสหราชอาณาจักรที่จะให้ออกจากการเป็นสมาชิกภาพของอียู ฝ่ายที่ต้องการให้ออกมีมากกว่าส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งออกนำเข้าสินค้าไปยังอียูและประเทศอังกฤษ ค่าเงินปอนด์ลดต่ำลงทันทีเป็นประวัติการณ์ ความไม่แน่นอนในเรื่องดังกล่าวมีผลกระทบไปยังทุกภาคส่วนของโลกทำให้นักลงทุนเลือกถือทองคำที่เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยไว้ก่อน จึงทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปอีกครั้ง
ทีนี้มาถึงคำถามต่อมาว่าราคาทองคำในไตรมาสที่ 3 ของปี 2559 นี้ จะหมดรอบแล้วหรือว่าจะไปต่อ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าราคาทองคำเป็นอะไรที่คาดการณ์ได้ค่อนข้างยาก ขนาดก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 2558 ยังมีกูรูหลายท่านออกมาคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะยังคงอยู่ในช่วงขาลงต่อไป แต่ผลกลับไม่เป็นอย่างนั้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่มีโอกาสทำให้ราคาทองคำเกิดความผันผวนได้ตลอดเวลาและไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ สำหรับราคาทองคำในไตรมาสที่ 3 ของ ปี 2559 ผลจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกจากการลงประชามติของสหราชอาณาจักรในการออกจากการเป็นสมาชิกอียู แม้จะยังคงมีอยู่แต่ก็จะเบาบางลงไปความผันผวนของราคาทองคำยังคงอาจจะมีอยู่โดยต้องรอดูผลจากการประชุมเฟด โดยหลังจากปลายเดือนกรกฎาคมที่เฟดยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ทำให้เชื่อได้ว่าในปีนี้เฟดอาจจะยังไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็คงต้องติดตามในเรื่องนี้ทุกการประชุมของเฟดต่อไป