ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีท่านผู้อื่นทุกท่านนะคะ วันนี้เรามาเกาะกระแสเรื่องทองคำกันบ้างดีกว่าค่ะ เพราะไม่กี่วันมานี้ กระแสราคาทองคำปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ โดยราคาซื้อขายทองคำปัจจุบันอยู่ที่ บาทละ 20,000-21,000 บาท ทั้งที่เป็นทองคำแท่งและทองรูปพรรณ (อ้างอิงจากราคาทองที่ซื้อขายประจำวันตามประกาศของ : สมาคมค้าทองคำ หรือ Gold Traders Association) ตอนนี้หลายคนก็คงลุ้นๆอยู่ว่า ราคาทอง จะปรับมากขึ้นกว่านี้อีกหรือไม่ ? จะขายออกเลยดีไหม หรือรอให้ราคาปรับสูงขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย ก่อนที่จะตัดสินเก็บหรือขาย
อ่านเพิ่มเติม : ลงทุนในทองคำ 2559 แบบฉบับ นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ
วันนี้เราก็เลยมีคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ เผื่อจะเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจค่ะ ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะราคาทองจะปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลงนั้น มันเกิดจากหลากหลายสาเหตุด้วยกัน
1.ค่าเงินเหรียญดอลล่าสหรัฐอ่อนค่าลง
อันเนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจของสหรัฐเอง อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า เงินดอลล่านั้นเป็นเงินสกุลหลักที่ใช้ในอัตราการแลกเปลี่ยนเทียบเคียงกับเงินสกุลอื่นๆอยู่เสมอ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เงินสกุลหลักนี้มีทีท่าว่าจะอ่อนแอลง ง่ายๆคือ มีค่าน้อยหรืออำนาจในการซื้อลงนั่นเอง เมื่อเงินดอลล่าอ่อนค่าลงเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเงินดอลล่าก็จะลดลงและหันไปลงทุนกับสินทรัพย์อย่างอื่นที่มีมูลค่าสูงกว่าแทน หนึ่งในนั้นก็คือ ทองคำ จึงเป็นเหตุที่ทำให้ราคาทองคำแปรผกผันกับเงินดอลล่าเสมอมา อีกทั้งถ้าพูดในแง่ของผู้ขายในประเทศที่ปรับราคาขึ้นตามกระแสโลกนั้น ก็เพราะว่าต้องการเงินในจำนวนที่เพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยในส่วนของค่าเงินที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง
2. ค่าเงินบาทเปลี่ยนไป
สอดคล้องกับค่าเงินสหรัฐอ่อนตัวลง เช่น จากที่เงินบาทไทยเคยแลกเปลี่ยนที่ 30 บาทต่อ 1 ดอลล่า แต่เมื่อค่าเงินดอลล่าอ่อนลง อัตราแลกเปลี่ยนอาจจะเหลือที่ 25 บาทต่อ 1 ดอลล่า เป็นต้น และทองคำในประเทศไทยนั้นไม่สามารถผลิตเองได้ ต้องอาศัยนำเข้าจากต่างประเทศโดยอิงค่าเงินสกุลหลัก ยิ่งค่าเงินดอลล่าอ่อนตัวลงมาก อัตราการซื้อขายก็จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิตเองย่อมปรับราคาเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยส่วนต่างของดอลล่าที่หายไป เป็นเหตุให้ต้นทุนราคาทองคำสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
3. ความต้องการซื้อมีมากขึ้น
เกี่ยวข้องกับเงินดอลล่าอีกเช่นเคย หากเงินดอลล่ายังคงปรับตัวลดลงอยู่อย่างนี้ แนวโน้มการถือครองทรัพย์สินที่เป็นเงินดอลล่าก็จะน้อยลง นักลงทุนย่อมงดลงทุนในส่วนนี้และพากันหันไปลงทุนหรือเก็บสินทรัพย์ในส่วนอื่นๆแทน ทองคำจึงการเป็นความต้องการของตลาดทั้งในกลุ่มที่ต้องการลงทุนเพื่อหาผลกำไร และในกลุ่มผู้ที่ซื้อทองคำเพื่อการประดับตกแต่งต่างๆ หรือแม้แต่ตลาดอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีการซื้อขายทองคำเป็นประจำอยู่แล้ว ตามกฎของอุปสงค์ เมื่อมีความต้องการสินค้าในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าในตลาดย่อมมีการปรับตัวที่สูงขึ้นตามลำดับนั่นเอง
จากเหตุปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำในข้างต้นนั้น แสดงให้เห็นว่า เงินดอลล่ามีความสัมพันธ์กับราคาทองคำอย่างปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งถ้าใครที่เป็นเซียนลงทุนทองคำอยู่แล้วอาจจะคาดการณ์สภาวะความผันผวนนี้ได้ไม่ยาก แต่สำหรับมือใหม่ที่เริ่มต้น อาจจะยังสับสนอยู่บ้าง ต้องอาศัยการเรียนรู้และศึกษาเพิ่มเติมก่อนที่จะทำการลงทุน นอกจากนี้ การคาดเดาสถานการณ์อาจจะต้องดูจากหลายๆอย่างประกอบกัน โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกและสหรัฐ เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงว่ามีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นหรือซบเซาลง ซึ่งถ้าช่วงไหนเศรษฐกิจสหรัฐดี ทำการค้าได้กำไรเกินดุล เงินดอลล่าก็ย่อมสามารถปรับตัวให้สูงขึ้นได้ อำนาจซื้อของเงินดอลล่ากลับมาอีกครั้ง ราคาทองก็จะค่อยๆปรับลดต่ำลง ตามลำดับ กลายเป็นว่าทองคำในตลาดโลกไม่ค่อยเป็นที่ต้องการของตลาดซะเท่าไหร่ เพราะว่าคงไม่มีนักลงทุนคนไหนที่จะถือครองทรัพย์สินที่ไม่มีค่าหรือมีค่าน้อยนั่นเอง
แต่ถ้ามองกลับกันในการลงทุน ถ้าวันนี้ราคาทองคำลดต่ำลง อาจจะเป็นโอกาสอันดีในการซื้อเก็บไว้ในช่วงที่มันมีราคาถูกก็ได้เช่นกัน เพราะแน่นอนล่ะว่า ราคามันไม่มั่นคงสม่ำเสมอไปตลอด ทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง ถึงได้บอกว่า การลงทุนทุกๆอย่างมีความเสี่ยง จะเสี่ยงมากเสี่ยงน้อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์และผู้ที่ทำการลงทุน ถ้าหากเรามองยาวๆไกลๆ ไม่ว่าราคาทองคำจะปรับขึ้นหรือลง แต่เรามีไว้ในครอบครองก็ถือว่าไม่เสียหลาย ตราบใดที่ผู้คนยังให้ความนิยมอยู่ และทองคำเองนอกจากจะซื้อเพื่อการลงทุนหรือเป็นเครื่องประดับต่างๆแล้ว ยังมีประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรมอื่นๆอีกมาก เพราะมันเป็นแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติที่ทนต่อการทำปฏิกิริยาไม่ขึ้นสนิม ทั้งยังมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวที่สูง สามารถทนความร้อนได้ดี จึงมักนำทองคำไปใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านการผลิตวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ ใช้กับดาวเทียมและยานอวกาศ แม้แต่วงการแพทย์ก็มีการนำเอาทองคำมารักษาโรคต่างๆ เช่น เกี่ยวกับทันตกรรม เป็นต้น นับว่าทองคำยังเป็นที่น่าสนใจและตลาดต่างๆมีความต้องการอยู่บ้าง
ถึงแม้ราคาทองในประเทศจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม การขายหรือไม่ขายนั้น ต้องดูที่ความจำเป็นของเราค่ะว่า จำเป็นมากน้อยแค่ไหน และในระดับราคาเท่านี้ มีความพึงพอใจหรือไม่ ? ถ้ารออีกนิด ราคาจะปรับสูงขึ้นอีกหรือเปล่า ก็ต้องหมั่นติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มอยู่ตลอดเวลานั่นเองค่ะ.