สำหรับหนังที่มีการถ่ายทอดถึงความสำเร็จในชีวิต คงจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้ นั่นก็คือ ฟรีแลนซ์…ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ เป็นผลงานโดย เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับมือทองสายอินดี้ ที่ได้คว้ารางวัลมาแล้วมากมาย หลายเวที ทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ เขาก็ได้คว้ารางวัลการทำหนังยอดเยี่ยมมาแล้วด้วย หลังจากที่หนังเรื่องนี้ได้ฉายออกไปได้ไม่นาน ก็เริ่มมีกระแสตอบรับออกมาในหลาย ๆ รูปแบบ บางคนก็ชอบเอามาก ๆ แต่ก็มีบางคนที่ยังไม่รู้สึกเข้าใจในเนื้อหาที่เขาได้ถ่ายทอดออกมา อาจเป็นเพราะผู้คนส่วนมากยังติดกับหนังสไตล์เดิม ๆ ของ GTH ที่เน้นหนังที่ทำให้รู้สึกดี อย่างเช่น หนังโรแมนติก และหนังตลก เป็นต้น
สำหรับเรื่องนี้ มันคือเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตมากกว่าหนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิง หนังเปิดโอกาสให้คุณได้เดินไปพร้อม ๆ กับตัวละคร เพื่อสำรวจตัวเอง ตั้งคำถาม และหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งสิ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้ แต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เคยผ่านมา
บทสรุปของหนังเรื่องนี้
ร่างกายมีขีดจำกัด จะปล่อยให้มันพังก่อนหรือ…ถึงจะใส่ใจ
หนังเรื่องนี้สะท้อนให้คุณเห็นถึงภาพคนทำงานหนักจนลืมใส่ใจกับสุขภาพของตัวเอง ตั้งใจทำงานแบบอดหลับ อดนอน ไม่ยอมหยุดพัก แม้ว่าร่างกายจะมีการส่งสัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขากลับไม่ใส่ใจ แถมยังดื้อดึงทำต่อไป จนกระทั่งระบบการทำงานภายในร่างกายล้มเหลว ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป ซึ่งมีประโยคหนึ่งในหนังที่ว่า “นี่ร่างกายมันกำลังจะเล่นคุณแล้วนะ ข้างนอกยังเป็นแบบนี้ แล้วข้างในมันจะเนาขนาดไหน” ซึ่งมันสะท้อนกลับมาให้เราได้คิดย้อนดูตัวเองว่า เราอาจมองข้ามสิ่งเล็ก ๆ แต่มีความสำคัญนี้ได้เช่นกัน สิ่งเล็ก ๆ ที่ว่าก็คือการดูแลสุขภาพของตัวเอง
ตึงไปก็ไม่ดี หรือจะหย่อนไปก็ไม่ดีอีก จงเลือกเดินทางสายกลาง
หนังได้สะท้อนปรัชญาความสุดขีดของมนุษย์ ผ่านการทำงานหนักของยุ่น (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ซึ่งเขาได้ถ่ายทอดถึงการทำงานที่หนักแบบสุด ๆ ทำงานหามรุ่ง หามค่ำ จนทำให้ร่างกายแย่ สุขภาพไม่ดี ซึ่งในปัจจุบันก็อาจจะมีบางคนที่คิดเช่นเดียวกับยุ่น ก็คือการคิดว่าจะทำอะไรก็ควรทำให้สุด ๆ ไปเลย มันน่าจะดีกว่า แต่เอาเข้าจริง ๆ บางอย่างไม่จำเป็นต้องทำจนสุด ๆ ขนาดนั้น ควรเลือกทำแต่พอดี ก็สามารถได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีได้เช่นเดียวกัน หากคุณทำอย่างตั้งใจ และควรทำอย่างพอดี ๆ ด้วย
ความสุขคืออะไร เป็นคำถามใหญ่ที่ต้องการคำตอบ
สำหรับหนังเรื่องนี้มีการแฝงประเด็นความหมายของ “ความสุข” ที่แตกต่างกันไปของความต้องการความสุขที่ไม่เหมือนกัน อย่างเช่น ความสุขของยุ่นคือการทำงานให้ประสบความสำเร็จ เขาคิดว่าชีวิตคืองาน และได้ทำงานคือความสุข สิ่งบันเทิง การท่องเที่ยวเป็นเรื่องเสียเวลา ในขณะที่ความสุขของ เจ๋ คือการได้อยู่กับคนที่รัก สำหรับความสุขของหมออิมอาจเป็นการได้เห็นคนไข้หายเป็นปกติ และมีสุขภาพดี หนังได้สะท้อนให้เห็นในแง่มุมของความสุข ที่อยู่ในรูปแบบแตกต่างกัน มีคำพูดหนึ่งที่อยู่ในหนัง ยุ่นได้กล่าวไว้ว่า “บางอย่างถ้ามันกินแล้วไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าทำให้มีความสุข มันก็โอเคนะ” เป็นประโยคที่ให้แง่คิดเกี่ยวกับ ความสุขที่เกิดขึ้นของแต่ละคนจะมีความต้องการที่ต่างกันนั่นเอง
ลดทิฐิ ปล่อยวางบ้าง เพราะชีวิตมันมีขึ้นมีลง
ข้อคิดจากหนัง ยุ่นเป็นกราฟฟิคมือดีที่สุด ในวงการรู้ดีว่าเขามีฝีมือเนี๊ยบ งานละเอียด ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบกับงานสูงมาก จึงทำให้ผลงานของเขาเป็นที่ยอมรับและเป็นการการันตีมาตรฐานให้กับตัวเขาเองด้วย จนทำให้ได้งานใหญ่ของแบรนด์ดัง สิ่งนี้เปรียบเหมือนว่าเขาได้ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของวงการแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีน้องใหม่ไฟแรงที่เดินตามรอยของเขา และประสบความสำเร็จขึ้นมาแทนที่ สิ่งที่เขาพอจะทำให้ในตอนนี้คือการลดทิฐิของตัวเองลง ปล่อยวางกับสิ่งที่เป็นอยู่ และยอมรับว่า “ชีวิตของคนเราย่อมมีขึ้นมีลง”
งานไม่ใช่ทุกอย่าง…ถ้าคุณไม่อยู่เขาก็หาคนใหม่มาแทนได้
งานไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตคุณ นั่นถือเป็นเรื่องจริงจากชีวิตของยุ่น เขาเป็นเหมือนภาพสะท้อนตัวแทนของมนุษย์ออฟฟิศที่มีความทุ่มเทกับหน้าที่การงาน และจัดลำดับความสำคัญไว้เป็นอันดับแรกเสมอ จนลืมคิดไปว่าสิ่งสำคัญกว่าก็มี นั่นคือการใช้ชีวิต และยังมีอีกมากมายหลายสิ่งที่คุณอาจจะทำหายไป หากมัวแต่สนใจอยู่กับการทำงาน ดังเช่น ยุ่น จนทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่มีสังคมอื่น ๆ นอกจากคนที่ทำงานกับเขาเท่านั้น แต่หากคุณลองคิดดูอีกมุมหนึ่งจะเห็นว่า งานที่คุณทำไปนั้นหากคุณไม่สามารถทำได้ เขาก็หาคนใหม่มาทำแทนอยู่ดี เพราะฉะนั้นการทำงานก็ไม่ควรทำเกินขอบเขตของตัวเอง ควรหันมาใส่ใจกับการดูแลสุขภาพของตัวเองบ้าง และนี้ก็เป็นอีกหนึ่งปรัชญาการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน
ชีวิตของเรากำหนดได้ (ไม่) เสมอไป
ในตอนท้ายของเรื่อง สะท้อนให้เห็นถึงจุดจบของชีวิตที่ใครหลายคน เคยวาดฝันเอาไว้ (แม้จะไม่ใช่วันที่อยากให้มาถึงก็ตาม) วาระสุดท้ายของชีวิต ที่ทุกคนต้องเจอเราจะต้องไม่มีคนเศร้า ใครจะมางานของเราบ้าง ธีมงานเป็นแบบไหน แต่พอถึงเวลานั้นจริง ๆ คุณกลับไม่มีสิทธิ์ได้เห็นเลยว่า มันจะออกมาเป็นอย่างไร แม้ตอนมีชีวิต คุณยังสามารถออกแบบให้เป็นไปตามกำลังทรัพย์หรือ ตามยถากรรม สุดท้ายที่คุณไม่สามรถออกแบบได้เลยก็คือ ความตายและวันแห่งการลาจากนั่นเอง
ธรรมชาติเป็นเครื่องเยียวยาจิตใจ
คนเราพอมาถึงช่วงเวลาหนึ่ง ที่ต้องพักผ่อน ไม่ใช่เป็นเพียงการนอนหลับ แต่หมายถึงการพักผ่อนทางใจด้วย โดยการปลดปล่อย การไม่คิด ทำสมองให้โล่ง ปล่อยความว่างเปล่าให้เข้ามาในสมองบ้าง ทอดอารมณ์และดื่มด่ำไปกับความสวยงามของธรรมชาติ ยาอาจสามารถช่วยสมานแผลทางร่างกายได้แต่หากจิตใจเหนื่อยล้าล่ะ อะไรจะมาเป็นกำลังเสริมให้จิตใจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ บางครั้งคนเราอาจมองว่า มันไม่จำเป็น แต่เชื่อเถอะค่ะว่า ธรรมชาติมันสามารถเยียวยาจิตใจของคุณได้ ไม่เชื่อก็ลองเปิดใจและใช้ธรรมชาติเพื่อช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลายแล้วคุณจะรู้สึกถึงชีวิตที่มีชีวามากขึ้น