วันนี้มีเรื่องย้อนยุคจากคุณยายมาเล่าให้ฟัง ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าคุณยายของผู้เขียนนั้นปีนี้อายุ 86-87 ปีก็เกิดช่วงประมาณปี 2472 หรือเกิดประมาณปลายรัชกาลที่ 7 นับดีๆก็อยู่มา 3 แผ่นดิน แต่ความจำยังดีเลิศ จำเรื่องเก่าๆได้แม่น และ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ แม่นกว่าเรื่องวัยเด็กของคุณยายเสียอีก ใครว่าคนแก่หลงๆลืมๆ รับรองว่าคุณยายผู้เขียนไม่เป็นแบบนั้นแน่ๆ
คุณยายเล่าว่า
ตอนสงครามโลกครั้งที่สองนั้นคุณยายยังเป็นสาวรุ่นๆ เอ๊าะๆ อายุเพิ่งสิบกว่าขวบ ยังอยู่บ้านสวนที่ฝั่งพระประแดงแถวๆ ต.บางกอบัว ว่าง่ายๆก็แถวๆตรงข้ามคลังน้ำมันคลองเตยในปัจจุบันนั่นล่ะแค่มีแม่น้ำกั้น แต่บ้านเก่ายายจะอยู่ในสวน ฟังดูเหมือนอังศุมาลินไหมล่ะ แต่แถวนั้นไม่น่ากลัวเหมือนย่านบางกอกน้อย แต่คุณยายบอกว่าก็ได้ยินเสียงหวอบ่อยๆ เหมือนกันเพราะฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเป็นย่านท่าเรือคลองเตย อีกทั้งมีคลังน้ำมันสามทหาร (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) หรือในปัจจุบันคือบริเวณช่องนนทรีในสมัยนี้ ซึ่งแต่ก่อนมีสถานีรถไฟ ซึ่งมีพวกทหารต่างชาติมาขึ้นกันบ่อยๆ ทำให้มีการโจมตีทางอากาศบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าได้ยินเสียงทีก็วิ่งเข้าท้องร่องหาที่หลบเหมือนในหนังในละครเลย เราฟังแกเล่าก็ยังขำเพราะแกจะเล่าไปขำไป ยิ่งเล่าก็ยิ่งสนุก เพราะคุณยายบอกว่า ช่วงสงครามนั้นที่บ้านมักจะพายเรือไปขายของให้พวกเรือฝรั่ง เรือญี่ปุ่น ที่เข้ามาที่ท่าเรือคลองเตย เอาผลไม้ในสวนไปขาย ซึ่งสมัยนั้นบ้านเก่ายาย จะปลูกพวก มะพร้าว มะปราง ส้ม มะนาว พริก กล้วยน้ำว้าสวน มะม่วง และมีผักพื้นบ้านอย่างพวก ผักหวาน ตำลึง และอื่นๆ รวมถึงจับปลาในคลอง ในร่องสวนนำมากินบ้างขายบ้าง หรือทำขนมขายบ้างตามประสาชาวสวนแถวนั้น ซึ่งคุณยายบอกการไปพายเรือขายของนั้นสนุกมากเพราะไปแอบดูฝรั่งอั้งม้อ (ฝรั่ง) บ้างพวกยุ่น (ญี่ปุ่น )บ้าง (คุณยายบอกสมัยนั้นเรียกแบบนี้) ซึ่งได้เงินเยอะพอสมควร เพราะยุคนั้นคุณยายบอกว่า อะไรๆก็แพงมาก ข้าวสารกิโลหนึ่งก็หลายเงินอยู่ และเงินทองก็หายากเพราะทุกคนกลัวสงคราม โจรขโมยก็มากมาย ยายบอกว่าอยู่ในสวนก็ยังมีขโมยมาลักผลไม้ในสวนเลย
ทำให้ความเป็นอยู่ในยุคนั้นต้องกระเบียดกระเสียร ใครมีเงินต้องเก็บให้ดีๆ บางบ้านนี่ใส่ไหฝังดินกันเลย ซึ่งบ้านยายตอนนั้นก็ไม่ได้รวยอะไรแค่พอมีพอกิน อีกทั้งพี่น้องก็หลายคนในช่วงยุคสงครามพี่น้องยายหลายคนก็ต้องกระจัดกระจายบางคนไปหาทำงานตามต่างถิ่น ทั้งมาทำงานในพระนคร หรือ บางคนไปอยู่ต่างเมืองก็มี เพราะค้าขายได้น้อยลง แม้จะขายของให้พวกต่างชาติได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ขายได้บ่อยๆ เพราะของในสวนมันก็มีแค่ตามฤดูกาล ซึ่งคุณยายยังไม่โตพอที่จะออกจากบ้านไปทำงานไกลๆเหมือนคนอื่นๆ ก็ต้องช่วยคุณทวด (แม่ของยาย ) พายเรือขายของ หรือ ออกมารับจ้างที่ฝั่งคลองเตย โดยเริ่มจากเป็นลูกมือร้านเสริมสวย (ตอนหลังเปิดร้านเอง) ร้านอาหารบ้าง ร้านตัดเสื้อผ้าบ้าง อะไรก็ตามที่มีคนว่าจ้างและได้เงิน คุณยายทำหมดเพราะต้องเอาเงินไว้ซื้อข้าวสาร ซื้อยา เก็บตุนไว้ แม้กระทั่งเป็นเด็กวิ่งซื้อของให้พวกทหารในคลังน้ำมันคุณยายก็ทำ เพราะพวกนี้ใจดีให้เงินจ้างหลายตังค์ (ตอนหลังพี่สาวยายได้แต่งงานกับนายทหารยศใหญ่โตในคลังน้ำมันนี้)
ซึ่งการเป็นเด็กวิ่งซื้อของให้พวกทหารในคลังน้ำมันสามทหารนี้คุณยายบอกสนุกมาก บรรดาเมียนายทหารหลายคนใจดีให้เงินจ้างเยอะ นายทหารหนุ่มๆก็มักเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมบ่อยๆเพราะมาจีบพี่สาวยาย เพราะยายจะไปขายของกับพี่สาว พวกทหารหนุ่มๆก็มักจะใช้ให้เป็นแม่สื่อยายบอกว่าได้ค่าจ้างดีทีเดียว แต่โดนพี่สาวดุ แต่ก็ไม่เลิกเพราะได้เงินดี
อ่านเพิ่มเติม >> คุณยายอยากเล่า ลำบากวันนี้สบายวันหน้า นะหลาน ! <<
แม้ว่ายุคสงครามตอนนั้นจะทำให้ครอบครัวลำบาก และกว่าจะหมดสงครามคุณยายก็โตเต็มที่แล้ว จึงออกมาทำงานได้เหมือนพี่ๆคนอื่นๆ ซึ่งคุณยายบอกว่าแม้หมดสงครามภาวะข้าวของแพง ก็ยังไม่หมดไป อะไรๆก็เคร่งครัดไปหมด เพราะเพิ่งผ่านสงครามมาและมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างอะไรๆก็ดูไม่เข้าที่เข้าทางเหมือนเริ่มต้นใหม่ ซึ่งตอนนี้เองที่ยายบอกว่าเริ่มต้นตั้งเนื้อตั้งตัวจากการเป็นลูกจ้าง ลูกมือ ตามร้านต่างในช่วงสงครามทำให้พอมีวิชาบ้าง มีเงินเก็บจากครั้งนั้นพอส่งเสียตัวเองเรียนตัดผ้า ทำผม ก็เริ่มเปิดร้านเองแถวๆบ่อนไก่ เพราะช่วงหลังสงครามนั้นมีฝรั่งมากมายแถวๆท่าเรือคลองเตย ทำให้มีบาร์ หรือ ร้านเหล้ามากมายแถวนั้น และแน่นอนก็ต้องมีสาวๆเมีย(เช่า)ฝรั่ง ทำให้ร้านเสริมสวยแถวนั้นมีเยอะยายก็เป็นหนึ่งในร้านเสริมสวยเหล่านั้น ประกอบกับพี่สาวยายได้นายทหารยศสูงในคลังน้ำมันเป็นสามี ทำให้มีเส้นสายหาเช่าที่เปิดร้านได้ราคาถูกๆ เดือนละไม่กี่สิบบาท ทั้งเมียทหาร เมียฝรั่ง ก็ตบเท้ามาเป็นลูกค้ามากมาย ทำให้คุณยายมีเงินเก็บพอจะซื้อที่ดินได้ และ แต่งงานในช่วงนั้นเอง หลังจากแต่งงานกับตา ก็ช่วยกันเก็บเงินเก็บทองผ่อนที่ และเก็บเงินไว้สร้างบ้านซึ่งนานหลายปีกว่าจะมีบ้านให้ลูกๆหลานอยู่ในปัจจุบัน
คุณยายมักจะบอกเสมอว่า
กว่าจะมีวันนี้ยายลำบากมาเยอะ กว่าจะสบายก็เกือบแก่ แต่มีความสุขเพราะไม่มีหนี้ ความลำบากใน ชีวิตยุคสงครามโลก สอนให้อดทน สอนให้ประหยัด สอนให้สู้ชีวิต อะไรที่ไม่จำเป็นยายจะไม่ซื้อเด็ดขาด ข้าวของทุกอย่างที่ซื้อไว้ใช้ ยายจะถนอมอย่างดี ใช้อย่างระมัดวัง และยิ่งตอนนี้ยายชอบฟังข่าวดูข่าว เห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆมาหลายยุค แกมักจะบอกเสมอว่าหากเกิดอะไรขึ้นขอให้แกตายก่อน แกบอกอยู่มานานแล้วผ่านสงครามมาหนเดียวก็พอแล้ว