คุณยายอยากเล่า มาอีกแล้ว เรื่องเล่าจากคุณยายมีมาให้อ่านกันเพลินๆ อีกแล้วซึ่งคุณยายมักมีอะไรๆมาเล่าให้ฟังเสมอๆ บางเรื่องฟังแล้วก็อยากย้อนยุคกลับไปอยู่ในสมัยนั้น บางเรื่องมันก็สอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบันอย่างเรื่องที่เล่าต่อไปนี้ คุณยายบ่นๆมาว่า ทำไมทุกวันนี้ อะไรๆก็ต้องใช้เงิน ไม่เหมือนสมัยก่อนเลยที่เงินเป็นแค่สิ่งอำนวยความสะดวกให้ทำอะไรๆได้ง่ายขึ้น ไม่เหมือนสมัยนี้มีเงินน้อยก็อยู่ไม่รอด มีเงินมากถึงจะสบาย
เรื่องของเรื่องมันมาจากคุณยายชอบไปนอนค้างทีวัดแถวๆบ้านเก่าที่พระประแดงในวันพระ แน่นอนว่าก็ต้องมีการไปพบเจอญาติเก่าๆที่ยังคงหลงเหลืออยู่ รุ่นเดียวกันบ้างรุ่นลูกรุ่นหลานบ้าน ซึ่งแต่ละคนก็มีฐานะแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันหมดคือ ทุกวันนี้ไม่มีเงินก็ไม่มีใครนับญาติ แม้จะยังอยู่ละแวกเดียวกันแต่การไปมาหาสู่นั้นไม่เหมือนเดิมญาติคนไหนรวยก็ไม่อยากพบเจอญาติที่ไม่มีเงินเพราะกลัวมาขอความช่วยเหลือ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คุณยายเบื่อกับการเจอญาติเพราะไม่อยากฟังคนโน้นคนนี้พูดแต่เรื่องเงิน แต่คุณยายยังไปเยี่ยมเยียนก็แค่ญาติสนิทๆที่รู้ใจกันเท่านั้นและยังระลึกถึงกัน จะมีจะจนต่างไม่พูดถึง เจอกันก็จะถามแค่สารทุกข์สุกดิบกันแค่นั้นพอหรือไม่ก็ไล่เรียงหาญาติๆที่ห่างหายกันไปใครเป็นอย่างไรอัพเดทข่าวคราวแล้วพอกลับมาก็จะมาเล่าให้ลูกหลานได้ฟัง
คุณยายบอกว่า
สมัยนี้น่าเบื่อทีทุกเรื่องต้องมีแต่เงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่เว้นแม้แต่ไปวัดเพราะบางทีก็ไปเจอบรรดาผู้ลาภมากดี ( คุณยายหมายถึงคนรวยๆ ) หันมาเข้าวัดแต่ก็ยังไม่วายอวดรวยใส่กัน จนตอนหลังๆทำให้เบื่อไปค้างวัดเพราะไปทีไรเจอแต่แบบนี้ คุณยายบอกว่าอยากกลับไปเหมือนตอนสาวๆ ที่ตอนนั้นเงินไม่จำเป็นมากนักเหมือนสมัยนี้ จะกินจะอยู่ก็หาได้จากในสวน บ้านเราไม่มีก็ไปขอเพื่อนบ้านได้ แต่สมัยนี้เหรอแค่พริกยังต้องซื้อ หรือ แม้แต่ดอกอัญชันที่คุณยายต้มน้ำกินทุกวันยังต้องซื้อ จนตอนหลังคุณยายบ่นมากๆว่ามันแพงเลยหามาปลูกให้ คุณยายบอกว่าสมัยนั้นสำหรับคนสวนอย่างครอบครัวยาย เงินมีไว้จ่ายแค่ที่จำเป็นเช่น ค่ายา ค่าข้าวสาร หรือ ซื้อของกินของใช้บางอย่างที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ได้ต้องจ่ายเงินทุกอย่างเหมือนสมัยนี้ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เอื้ออาทร ต่อกันมีมากกว่าสมัยนี้แม้จะย้ายมาอยู่ฝั่งพระนครแต่ผู้คนยังคบหากันด้วยใจมากกว่าเงิน
คุณยายบอกว่า
ตอนย้ายมาอยู่ฝั่งพระนครตอนเปิดร้านเสริมสวยแล้วนั้น ต่อให้ร้านติดๆกันเป็นสิบร้านก็ไม่ทะเลาะแย่งลูกค้ากัน ร้านเราเต็มก็แนะนำให้ไปร้านข้างๆ ร้านข้างเต็มก็แนะนำให้มาร้านเราตอบแทนกลับมา ตอนกลางคืนปิดร้านแล้วยังมานั่งทานข้าวด้วยกันทำกับข้าวมาแบ่งกันกิน ซึ่งสมัยนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว คุณยายบอกว่าคำว่าเพื่อนบ้านในยุคก่อนๆนั้นเป็นเพื่อนบ้านกันจริงๆ มีความสนิทสนมกันช่วยกันเป็นหูเป็นตาดูแลบ้านเวลาที่เราไม่อยู่ได้ บางบ้านตกเย็นมาแบ่งกับข้าวมาให้ เราทำแบ่งไปบ้าง เขาทำแบ่งมาบ้างอะไรขาดเหลือหยิบยืมกันได้ กะปิ น้ำปลา เวลาหมดกะทันหัน ขอกันได้สบายๆ บางบ้านปลูกผักสวนครัวเวลาออกผลมากๆ แบ่งกันกินด้วยซ้ำ ไปไหนมาไหนมีของมาฝากกันเล็กๆน้อยๆ
คุณยายบอกว่า
ไม่เหมือนสมัยนี้รั้วติดกันแต่ไม่เคยคุยกันเลย บ้านใหญ่ดูถูกบ้านเล็ก น้ำใสใจจริงไม่มีผู้คนเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไปคุณยายบอกว่าบ้านเมืองเจริญขึ้นแต่คนไม่รู้จักกันไม่มีน้ำใจให้กัน ทุกอย่างต้องใช้เงินซื้อแม้แต่จะให้คนช่วยอะไรเราก็ต้องตอบแทนด้วยเงิน เพราะหากเราไม่มีเงินก็ไม่มีใครอยากคบแม้แต่ญาติๆ ของเราเองคุณยายจึงเบื่อที่จะไปพบกับญาติๆ ทั้งที่คุณยายบอกว่าบางคนนั้นเลี้ยงมากับมือด้วยซ้ำ แม้ว่าจะเจอกันตอนญาติๆมีงานทั้งงานตายญาติๆ งานบวชรุ่นหลาน รุ่นเหลน แต่ก็เหมือนไม่สนิทจะมีก็แค่ไม่กี่คนที่ยังเหมือนเดิม แลคุณยายมักจะสั่งเสมอว่า ถ้าตายไม่ต้องไปบอกญาติๆนะ เดี๋ยวจะหาว่าอยากได้ซอง เพราะคุณยายบอกว่าญาติๆคุณยายนั้นชอบจัดงานกันใหญ่ๆโตๆ ตามประสาคนฝั่งสวนที่ไม่ว่าจะงานไหนต้องใหญ่ไว้ก่อน จนหลายๆคนบ่นว่าจัดเอาซอง จัดเอาหน้า ลูกหลานที่ตรงนี้แค่นี้พอจัดงานใหญ่โตก็เปลืองเงินเอาเงินที่มีเก็บไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า