กลับมาพบกันอีกครั้งกับเรื่องเล่าของคุณยาย แม้ว่าตอนนี้เราจะอยู่ในความเศร้าโศกและสูญเสียครั้งใหญ่แต่ชีวิตเราต้องดำเนินต่อไปเราต้องทำใจและต่อสู้กับความโศกเศร้าเพื่อให้เราเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างเข็มแข็ง วันนี้มีเรื่องเล่าจากคุณยายมาฝากก็หวังว่าอ่านแล้วจะทำให้อมยิ้มกันได้บ้าง
อ่านเพิ่มเติม : คุณยายอยากเล่า ชีวิตยุคสงครามโลก ครั้งที่ 2
คุณยายของผู้เขียนนั้นเกิดเมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2471 ซึ่งอยู่ในสมัยปลายรัชกาลที่ 7 ซึ่งคุณยายบอกว่ายังไงก็ถือว่าเป็นแผ่นดินแรกของคุณยาย และตอนที่ท่านสละราชสมบัตินั้นคุณยายบอกว่าฉันรู้ความแล้วแม้จะยังเด็กอยู่ก็ตามและได้ผลัดแผ่นดินเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 8 ซึ่งบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างคุณยายบอกว่าบ้านเมืองเราก็มีสงครามในช่วงนั้นซึ่งแม้ตอนนั้นจะยังลำบากต้องพายเรือขายของ แต่คุณยายบอกว่ามันก็มีเรื่องสนุกตามประสาเด็กกำลังโต ซึ่งคุณยายยังพอจำได้และมักจะเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ ถึงชีวิตช่วงสงครามเวลาวิ่งหนีระเบิด
บ้านคุณยายอยู่ฝั่งประแดง แต่พายเรือมาขายขนม ขายของยังฝั่งคลองเตยแถวๆคลังน้ำมันช่องนนทรี ซึ่งสมัยก่อนเรียกคลังน้ำมันสามทหาร ซึ่งคุณยายบอกแถวๆนั้นมีพวกทหารญี่ปุ่นเยอะเหมือนกันและคุณยายก็ชอบแอบดูพวกทหารญี่ปุ่น เพราะคุณยายบอกว่าเขาเดินเป็นระเบียบกว่าทหารไทย และด้วยความที่เป็นเด็กและมีพี่สาวสวย( คุณยายมักจะบอกว่าพี่สาวคุณยายนั้นสวยมาก ซึ่งก็จริงๆ เพราพี่สาวคุณยายหรือเราเรียกว่า ยายใหญ่นั้นสวยมากและเพิ่งเสียไปไม่กี่ปีนี้เองซึ่งแกก็อยู่ถึงอายุ 90 ) บรรดานายทหารที่คลังน้ำมันมาตามจีบหลายคน เวลามาขายของถ้าวันไหนพี่สาวมาด้วยก็มักจะขายดีเพราะพวกทหารมาอุดหนุนรวมทั้งพวกทหารญี่ปุ่นก็เป็นลูกค้าของคุณยายด้วย
และด้วยความซนของคุณยายเวลาขายขนมเสร็จก็มักจะขอขึ้นฝั่งไปเดินเล่นตามประสาเด็กๆกับพวกเพื่อนที่มาขายของด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเล่นอยู่ในคลังน้ำมันเพราะคุณยายบอกว่าสนิทกับทหาร และที่สนิทเพราะทหารในคลังน้ำมันหลายคนชอบจ้างคุณยายให้เอาจดหมายไปให้พี่สาวนั่นเอง คุณยายกับเพื่อนๆได้เลยอภิสิทธิ์เข้าไปวิ่งเล่นในคลังน้ำมันบางครั้งนายทหารก็พาพวกเด็กๆนั่งรถออกมายังด้านนอกแถวๆบ่อนไก่ หรือ คลองเตย พาขับรถเที่ยวแล้วก็พากลับคุณยายบอกว่าช่วงเด็กๆชีวิตก็วนเวียนอยู่แบบนี้ช่วยที่บ้านทำงาน กับวิ่งหนีระเบิด แล้วก็เรียนหนังสือ จนพี่สาวได้แต่งงานกับนายทหารมียศสูงในคลังน้ำมันกลายเป็นคุณนายมาเปิดร้านขายของในคลังน้ำมันแทน คุณยายก็เลยได้ย้ายจากสวนมาอยู่ด้วย เพราะพี่สาวซึ่งมาอยู่บ้านพักของสามีแต่ก็ไปๆมาๆเพราะคุณแม่ของคุณยายยังอยู่ที่บ้านสวน จนตอนหลังคุณยายกับคุณแม่ของคุณยายก็ย้ายมาอยู่แถวๆบ่อนไก่
ในช่วงหลังสงครามยุติลงได้ไม่นานบ้านเมืองก็แร้นแค้นพอสมควรแต่ก็ผ่านกันมาได้ และคุณยายบอกว่าก็มีเหตุการณ์สำคัญในช่วงนี้คือเปลี่ยนแผ่นดินจากสมัยรัชกาลที่ 8 เป็นสมัยรัชกาลที่ 9 ซึ่งตอนนั้นคุณยายบอกว่าโตเป็นสาวแล้วและได้เข้าทำงานในโรงงานยาสูบโดยการฝากฝังของนายทหารในคลังน้ำมัน คุณยายบอกว่าฉันเด็กเส้นนะ ซึ่งคุณยายบอกว่าตอนที่มีข่าวของรัชกาลที่ 8 สิ้นพระชนม์ก็ไม่ต่างอะไรกับตอนนี้ประชาชนทุกคนเสียใจบ้านเมืองก็เงียบเหงา ทุกคนคอยแต่จะฟังข่าวจากวิทยุว่าตอนนี้เหตุการณ์เป็นอย่างไร จะเดินทางไปกราบพระบรมศพได้เมื่อไหร่ ทุกอย่างเป็นไปอย่างเชื่องช้าไม่เหมือนสมัยนี้ที่รู้ข่าวกันไว วิทยุมีการแจ้งข่าวกันทั้งวัน
ซึ่งเมื่อวันที่รัชกาลที่ 9 สิ้นพระชนม์ เราได้บอกข่าวนี้กับคุณยายก่อนที่จะมีแถลงการณ์เพราะได้ทราบข่าวจากเพื่อนที่ได้ไปเฝ้าอยู่ที่ ศิริราช เมื่อเพื่อนส่งข่าวมาบอกเราเลยตัดสินใจที่จะบอกก่อนล่วงหน้าเพราะคุณยายจะเข้าห้องนอนตอนค่ำๆและเปิดวิทยุฟังรายการต่างๆตอนกลางคืนจึงคิดว่าบอกก่อนจะดีกว่าหากแกฟังจากวิทยุกลัวจะช๊อกเพราะเสียใจ ซึ่งเมื่อบอกข่าวไปคุณยายก็นั่งร้องไห้อยู่นานพอตั้งสติได้แกก็บอกว่านี่ฉันเกิดในรัชกาลที่ 7 และฉันคงจะตายในรัชกาลที่ 10 ใช่ไหมเนี่ย ปีนี้ฉัน 88 แล้วนะจะอยู่ได้อีกกี่ปีแต่ฉันก็อยู่มาถึง 4 แผ่นดินแล้วฉันแก่แล้วเวลาฉันอยากไปไหนพวกแกอย่าห้ามฉันนะเพราะฉันจะได้ไปที่ชอบๆเดี๋ยวฉันตายแล้วฉันไม่ได้ไป
แม้จะเศร้าแต่คุณยายก็เข้มแข็งและยังติดตลกหยอดมุกใส่หลานๆ แกบอกว่า เราต้องมีสติ เราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เราต้องทำความดีเหมือนที่เราทำมา มีชีวิตอยู่เหมือนที่เราอยู่มา จะทำอะไรให้มีสติตั้งสติเอาไว้ให้มั่นแล้วเราจะผ่านพ้นไปได้ทุกปัญหาและทุกเหตุการณ์