“มีวิชา เหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน” เชื่อว่าสำนวน ๆ นี้ เรา ๆ ท่าน ๆ คงจะได้ยินได้ฟังมาจากผู้ใหญ่อยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปู่ ย่า ตา ยาย ทั้งหลาย ซึ่งมีความรู้น้อยและอยากให้ลูกหลานเรียนสูง ๆ
หากเรายังเป็นเด็กในวัยเรียน เราคงจะมีศรัทธาและเชื่อในคำ ๆ นี้ อย่างสุดจิตสุดใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราโตขึ้น เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ กลับเริ่มรู้สึกว่าสำนวนดังกล่าวนั้นเป็นความจริง หรือเป็นแค่คำจูงใจจากพวกผู้ใหญ่ให้ตั้งใจเรียนเท่านั้นกันแน่ เพราะดูเหมือนว่าการใช้ชีวิต การทำมาหากินในยุคปัจจุบันจะไม่สามารถมีแค่ความรู้ได้อีกต่อไป เนื่องจากมีตัวแปรอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะชี้วัดได้ว่าเราจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยเรื่องเงินทุน ที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญล้ำหน้าความรู้ไปแล้วเสียด้วยซ้ำ จนคนบางคนถึงกับเอ่ยปากออกมาว่า ต่อให้มีความรู้จนเข้าระดับอัจฉริยะ แต่ถ้าไม่มีเงินทุนที่จะสามารถนำมาอุดหนุนการลงทุนได้ ความรู้ที่มีอยู่ก็จบไป หรือถ้าจะเปรียบเทียบกันอย่างง่าย ๆ ก็อย่างเช่น ในการเล่นหุ้น ต่อให้มีความรู้มากว่าควรซื้อตัวไหน ควรทำอย่างไร แต่ถ้ามีเงินติดตัวอยู่แค่ 10 บาท ก็เป็นอันว่าจบกันเพราะเราจะไม่สามารถซื้อหุ้นได้เลยแม้แต่ครึ่งตัว
ทีนี้ หากเราจะถามว่า ทุกวันนี้ปัจจัยเรื่องเงินทุนมันมีความสำคัญนำหน้าปัจจัยเรื่องความรู้ไปแล้วจริง ๆ หรือ
คงต้องตอบว่า ถูก แต่ถูกแค่ครึ่งเดียว เนื่องจากการที่คน ๆ หนึ่งมีเงินทุนมาก สามารถลงทุนหุ้นได้เป็นสิบ ๆ ตัว หรือสามารถไปเหมาซื้อทอง ซื้อเพชรมาเก็บไว้เก็งกำไรเองได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ 100% โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ ในทางตรงกันข้ามผู้ลงทุนที่ขาดความรู้ ต่อให้มีเงินเป็นถุงเป็นถัง เขาย่อมประสบกับความล้มเหลวในการลงทุน เสียเงินไปโดยไม่ได้อะไรกลับมา บางรายที่ลงทุนแบบงู ๆ ปลา ๆ ไม่มีความรู้ใด ๆ ลง 10 ล้าน เสีย 10 ล้าน ไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็มี ในขณะเดียวกันผู้ที่ไม่ได้มีเงินมาก บางทีมีเงินลงทุนแค่ 10,000 บาทเท่านั้น แต่เขาลงทุนโดยใช้ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาจนสามารถทำให้เงินงอกเงยจาก 10,000 เป็น 50,000 จาก 50,000 เป็น 100,000 และจาก 100,000 กลายเป็น 1,000,000 แถมยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แบบที่ไม่เกิดอาการหยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า ถึงแม้ปัจจัยเรื่องเงินจะมีความสำคัญสูง แต่ปัจจัยเรื่องความรู้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ทั้ง 2 อย่างนี้ ต้องดำเนินการไปควบคู่กัน หากมีความรู้แต่ขาดเงิน ย่อมเป็นการยากที่จะต่อยอดความรู้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ขณะเดียวกันหากมีแต่เงิน แต่ขาดความรู้ ย่อมประสบแต่ความล้มเหลวในการลงทุน จนในที่สุดอาจกลายสภาพเป็นบุคคลล้มละลาย ไม่มีทั้งเงินและความรู้ก็เป็นได้
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้เชื่อว่าคงยังมีท่านผู้อ่านบางคนกำลังโอดครวญอยู่ว่า ตัวเรามีความรู้ แต่ไม่มีเงิน แล้วจะให้ทำอย่างไร ไม่มีเงินก็เอาความรู้ไปต่อยอดไม่ได้อยู่ดี ขอบอกเลยว่าหากท่านกำลังมีอาการดังนี้อยู่ จงหยุดโอดครวญ แล้วเริ่มลงมือปฏิบัติจริงเสียที ซึ่งวิธีปฏิบัติตนให้มีโอกาสประสบความสำเร็จนั้นมีดังนี้
- จงประเมินตัวเองเสียก่อนว่ามีความรู้มาก-น้อยแค่ไหน อย่ามัวแต่พร่ำบอกว่าเราเก่ง ๆ แต่ไม่รู้ว่าเก่งตรงไหน เอาความรู้ที่มีอยู่มาจัดระบบให้ดี ทบทวนดูว่าเรามีความรู้ในระดับไหน แล้วค่อยนำความรู้ที่ตนมีอยู่ไปเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ต้องการ ว่าต้องใช้ความรู้ระดับไหน แล้วเท่าที่มีอยู่ตอนนี้พอหรือยัง หากยังไม่พอจงหาความรู้เพิ่ม
- พิจารณาเงินทุนที่ต้องใช้สำหรับต่อยอดความรู้ว่ามีจำนวนมาก-น้อย แค่ไหน แล้วเริ่มดำเนินการหาให้ได้ตามเป้า อาจจะไม่ต้องหาเงินจนถึงหลักล้าน เอาแค่จำนวนขั้นต่ำที่สามารถนำไปต่อยอดความรู้ของเราได้ก็ได้ วิธีการหาเงิน อาจจะเป็นการแสวงหาด้วยตัวเอง ทำงานอื่นไปพลาง ๆ ก่อน แล้วลงทุนด้วยตนเองในภายหลังหรือจะหาคนที่มีเงินทุน ต้องการลงทุนแต่ขาดความรู้ก็ได้ แล้วเราค่อยไปเสนอตัวว่าจะนำความรู้ที่มีอยู่มาช่วยในการลงทุน แล้วค่อยจัดแบ่งผลประโยชน์ร่วมกันไปเรื่อย ๆ แต่ขอแนะนำว่าไม่ควรหาเงินด้วยการกู้หนี้ยืมสิน
- เมื่อได้ทั้งเงิน และความรู้ที่เพียงพอต่อการลงทุนแล้ว หลังจากนี้เราก็เริ่มทำการต่อยอดความรู้ของเราได้เลย ระหว่างที่ดำเนินการต่อยอด จงหมั่นพัฒนาความรู้ของตัวเองไปพร้อม ๆ กันด้วย แล้วเก็บข้อมูลทั้งความสำเร็จ ทั้งความผิดพลาดเพื่อนำมาปรับใช้ต่อไป
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงพอจะเห็นแล้วว่า ความรู้ คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยพาเราไปสู่ความสำเร็จได้ ดังนั้น จงอย่าถอดใจ พยายามหาช่องทางที่ช่วยให้เราสามารถนำความรู้ที่มีอยู่ไปต่อยอดได้ และที่สำคัญคือจงเริ่มเสียตั้งแต่วันนี้ อย่ามัวแต่พร่ำเพ้ออยู่ว่าฉันเก่ง แต่ฉันไม่มีเงิน ความรู้ที่มีอยู่เอามาใช้ไม่ได้หรอก เพราะหากมัวแต่พร่ำเพ้อโดยที่ไม่ยอมลงมือปฏิบัติจริง ความสำเร็จย่อมไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น แล้วเราก็อาจจะถูกปรามาสได้ว่าเป็นพวกดีแต่ปาก อวดฉลาด หรือไม่ก็เป็นพวกมีความรู้ แต่ไม่มีปัญญาเอามาใช้ได้ เป็นต้น