หากชีวิตไม่รู้จักคำว่า “พอเพียง” ก็ย่อมไม่สามารถหลุดพ้นจาก วงจรแห่งหนี้ได้ เพราะเมื่อใดที่เกิดความต้องการภายในจิตใจ อันเกิดจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) เช่น การเห็นสื่อโฆษณา จากโทรทัศน์ นิตยสาร อินเทอร์เน็ต การรับกระแสความนิยมจากโลกตะวันตก ตะวันออก ของคนสังคมยุคใหม่ การได้ฟังเสียงที่ไพเราะ เสนาะหู การได้กลิ่นที่หอมละมุน การลิ้มรสอาหาร เครื่องดื่มที่ต่างออกไปจากที่เคย การสัมผัสสิ่งที่อ่อนนุ่ม น่าหลงใหล สิ่งเหล่านี้ย่อมมีผลต่อภาวะจิตใจ พอใจในสิ่งที่ได้รับรู้ ทำให้เกิดความต้องการ อยากได้เป็นเจ้าของ
เฉกเช่นกับ เมื่อใดที่ต้องการสิ่งใด ๆ แล้วก็มักจะขวนขวายเพื่อให้ได้มา โดยอาจไม่ได้คำนึงถึงผลตามติดมาด้วย ที่ก่อให้เกิดความไม่สุขสบายทางกายและจิตใจ (ไม่มีความสมดุลในชีวิต) ซึ่งสิ่งที่สร้างความไม่สบายใจให้แก่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม ก็มักจะเกิดจาก ภาระหนี้สิน ที่ได้จากการกู้ยืมจาก สถาบันการเงิน (ธนาคารพาณิชย์) บริษัทในเครือธนาคารพาณิชย์ (บริษัทบัตรเครดิต บริษัทลีสซิ่ง ) กิจการที่ให้บริการทางการเงิน (บริษัทจัดไฟแนนซ์เอกชน สหกรณ์ออมทรัพย์,บุคคล หรือกิจการให้กู้เงินนอกระบบ) อันเป็นผลจากการใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของ หรือบริการที่ไม่จำเป็น
อ่านเพิ่มเติม >> เป็นหนี้ ก็มีสุขได้ อยู่ที่ว่าจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน <<
ดังนั้น ก่อนกระทำสิ่งใด ๆ ก็ตาม ควรยึดคำที่ว่า “ทุกสิ่งย่อมมี 2 ด้านเสมอ ” นั่นคือ ไม่มีสิ่งใดจะมีประโยชน์ หรือโทษเพียงอย่างเดียว จึงต้องพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด เช่น แม้บ้านจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุขสบาย ที่พื้นที่ส่วนตัวในการทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่กระนั้น การมีบ้านก็ย่อมทำให้เกิดภาระที่ต้องดูแล ทำความสะอาด และต้องใส่ใจในการรักษาทรัพย์สิน รักษาความปลอดภัยในตัวบ้านตลอดเวลา ก็เหมือนกับการก่อหนี้ที่ทำให้สามารถซื้อสิ่งที่ต้องการพอใจได้ แต่ก็ยังสามารถทำให้ผู้กู้มีภาระหนี้สินที่ต้องพยายามหาเงินเพื่อชำระเงินกู้และดอกเบี้ย และหากไม่สามารถชำระได้ตามกำหนดก็จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ ๆ ตามมาอีกมากมาย ทั้งยังมีผลต่อสุขภาพจิตของตนเองและคนรอบข้าง
อย่างไรก็ตาม หากว่า เป็นหนี้ แล้ว ก็ยังสามารถทำให้ชีวิตมีความสุขได้เช่นกัน ตามแนวคิด ดังนี้
1. วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา และผลเกิดขึ้น
ต้องรู้ว่าหนี้ที่มีอยู่ เกิดด้วยสาเหตุใด เช่น เกิดจากความต้องการซื้อรถยนต์รุ่นใหม่ แม้ว่าจะมีรถยนต์อยู่แล้ว ซึ่งทำให้เกิดผล คือ ต้องกู้ยืมเงินเพื่อซื้อรถยนต์ เพราะเงินเก็บออมไม่เพียงพอ และก็เป็นผลทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งการรู้เหตุและผล จะทำให้ทราบว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากความคิด การกระทำ การตัดสินใจ ของตนเป็นสำคัญ สิ่งนี้จะเป็นหนทางช่วยให้คนที่เป็นหนี้ สามารถหยุดความต้องการและคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบมากขึ้น หากจะตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ ในอนาคต
2. ยอมรับในสิ่งที่เป็น
ต้องปล่อยวาง และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะไม่ว่าจะคิดถึง หนี้สินที่มีอยู่ 24 ชั่วโมง หนี้นั้นก็ยังคงไม่หายไปไหน ดังนั้น จึงควรคิดหาหนทางในการลดภาระหนี้สินนี้ให้หมดลง โดยคิดวางแผนการบริหารจัดการทางการเงิน เช่น หากมีเงินสะสมก็ต้องทำให้เงินออมส่วนนี้มีมูลค่าเพิ่มพูนมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ประยุกต์ใช้ของที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ หรือขายเพื่อสร้างรายได้เสริม ขายทรัพย์สินบางอย่างเพื่อลดค่าใช้จ่าย (บ้าน หรือ รถที่ไม่ได้ใช้ ล้วน แต่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา ต้องมีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง ) ประกอบอาชีพเสริม เป็นต้น
3. ฝึกความคิด มองสิ่งต่าง ๆ 2 มุมเสมอ ทั้งแง่ดีและแง่ลบ
การมองเพียงมุมเดียว ย่อมเห็นเพียงแง่ดี หรือ แง่ลบ เท่านั้น แต่สิ่งต่าง ๆ ย่อมมี 2 ด้าน เหมือนกับแม่เหล็กที่มีทั้งแรงผลัก และแรงดึงดูด ซึ่งต่างอยู่คนละขั้วกัน เพียงแต่ต้องหาให้พบเท่านั้น และหากว่าการเป็นหนี้ ทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ไม่มีเงินเหลือเก็บ การคิดเช่นนี้ย่อมทำให้คนขาดกำลังใจ ท้อแท้ ไม่มีความสุขกับชีวิต แต่หากลองมองในอีกมุมหนึ่ง จะเห็นว่าการเป็นหนี้ทำให้เกิดสิ่งดี ๆ บางส่วน คือ ทำให้ผู้กู้มีวินัยทางการเงินในการชำระหนี้เพื่อปลดหนี้สินได้ไวขึ้น ใช้จ่ายสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบ และเมื่อมีเงินเหลือก็จะเก็บออม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนที่ไม่มีหนี้อาจไม่ได้ใส่ใจ คำนึงถึง ก็ย่อมทำให้เสียโอกาสในการเรียนรู้การใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง หากคิดเช่นนี้ได้ คุณจะเป็นคนหนึ่งที่มีความสุขในการใช้ชีวิต
4. อดทน อดกลั้นต่อความอยากในสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ
การที่สามารถระงับความต้องการได้ ย่อมทำให้ชีวิตเป็นสุขขึ้น ไม่ต้องขวนขวายหาสิ่งที่ฟุ่มเฟือย ตามกระแสความนิยมของคนในสังคม ทำให้ไม่มีทุกข์ หากไม่ได้ในสิ่งที่คาดหวัง หากแต่สิ่งสั้นเป็นสิ่งจำเป็นก็ควรจะเก็บออม สะสมเป็นเงินก้อนเพื่อซื้อ หลีกเลี่ยงการกู้แบบผ่อนเป็นรายเดือน ซึ่งทำให้เสียดอกเบี้ยโดยไม่จำเป็น และเมื่อเก็บเป็นเงินก้อนได้แล้ว อาจจะมีความคิดในการใช้เงินก้อนนี้ในสิ่งที่มีประโยชน์ยิ่งกว่าเดิม
5. สร้างวิธีคิดใหม่ให้แก่ตนเอง
ในสังคมไทยยังมีคนอีกกลุ่มซึ่งมีฐานะทางการเงินต่ำ หรือแทบไม่มีเงิน เพื่อซื้ออาหารยังชีพ แต่คนกลุ่มนี้ยังขยันทำงาน กระตือรือร้น ในการใช้ชีวิต ไม่ท้อแท้สิ้นหวัง เพื่อให้ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป สิ่งนี้ก็คงสะท้อนว่าผู้เป็นหนี้ เป็นบุคคลทีมีความน่าเชื่อถือพอสมควร มีเครดิตในการกู้ มีความสามารถในการชำระหนี้ มีทรัพย์เพียงพอในการค้ำประกัน มีอาชีพที่มั่นคง ทำให้แหล่งเงินกู้มีความเชื่อมั่นในการให้วงเงินล่วงหน้า ดังนั้น ผู้เป็นหนี้ยังเป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสทางสังคม สามารถผ่านพ้นอุปสรรคหนี้สินไปได้ หากเพียงแต่ขยัน อดทน อดออม และตั้งใจในการชำระหนี้ และยังมีผู้ที่ประสบความสบความสำเร็จ ซึ่งเคยผ่านจุดต่ำสุดในชีวิต เคยล้มลุกคลุกคลานมากไม่น้อยกว่าจะประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ ดังนั้น ต้องเข้าใจว่าหนี้ที่ตนมีอยู่นั้นเป็นเพียงอุปสรรคหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดในชีวิต หรือจะต้องมีผลทำให้ชีวิตเศร้า ทุกข์ หม่นหมองตลอดเวลา โดยต้องเรียนรู้ศึกษาเทคนิค ประสบการณ์และอุปสรรคต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตของผู้ที่เติบโตก้าวหน้าในวันนี้ เพื่อเป็นแบบอย่างแนวทาง ในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและมั่นคง
การใช้ชีวิตให้มีความสุข ไม่ใช่อยู่ที่การมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ไม่ใช่อยู่ที่ได้เป็นเจ้าของวัตถุสิ่งของที่ชื่นชอบ หรือไม่ใช่อยู่ที่การเป็นคนที่ได้รับการยกย่อง นับหน้าถือตา มีฐานะทางสังคม หากแต่อยู่ที่ความพอใจและยอมรับในสิ่งที่ตนมีและเป็นอยู่ แม้จะมีหนี้สินและความรับผิดชอบทางการเงินที่มีความกดดัน แต่ถ้ามีทัศนคติในแง่ดี มีใจที่สงบ ย่อมสร้างสุขภาพจิตที่ดีและมีชีวิตที่เป็นสุขได้อย่างไม่ยาก