สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ moneyhub มีสิ่งที่น่าสนใจมาฝากกันเหมือนเดิม ในแบบโคเรียๆซักหน่อย กับการกลับมาในรูปแบบของซีรีส์ Happy Investing ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้ผู้ที่สนใจเริ่มต้นลงทุนแต่ยังไม่รู้จะจับต้นชนปลายอย่างไร อยากลงทุนเริ่มต้นที่ไหนดี ไม่รู้จะไปศึกษาจากตรงไหน
ข้อมูลในบทความนี้ ส่วนหนึ่งนำมาจากหนังสือ “สนุกกองทุน Fund Book” ของสำนักพิมพ์ ThinkGood ซึ่งทีมงานคิดว่าหนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับกองทุนได้น่าสนใจและเข้าใจง่ายมากๆ เหมาะสำหรับมือใหม่หัดลงทุนมากๆ อยากให้มีโอกาสได้อ่านกันครับ ของเค้าดีจริงๆ ทางเราจึงได้นำมาเรียบเรียงเป็นบทความบนเว็บไซต์เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้ผู้ที่สนใจในการลงทุนศึกษาง่ายขึ้น
ทำไมต้องลงทุน ?? มาตอบคำถามนี้กันก่อนดีกว่า เราจะลงทุนกันทำไมนะ ในเมื่อการฝากเงินไว้เฉยๆ ไว้ในบัญชีออมทรัพย์หรือฝากประจำ ทั้งปลอดความเสี่ยง เรื่องขาดทุนนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ผลตอบแทนที่ได้รับเป็นดอกเบี้ยอันน้อยนิดที่ทุกๆปี ยังน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อซะอีก
นั่นแปลว่าเงินที่เราเก็บสะสมไว้เฉยๆหรือฝากประจำไว้กับธนาคารจะมีมูลค่าในการนำไปแลกสินค้าลดลงเรื่อยๆ เช่น เงิน 35 บาทในตอนนี้ เราซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 1 ชาม แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้า เงิน 35 บาท จะไม่สามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวได้อีกต่อไป เพราะราคาของก๋วยเตี๋ยวจะขึ้นไปตามอัตรา เงินเฟ้อ ปีละประมาณ 3% อย่าว่าแต่ซื้อก๋วยเตี๋ยวเลย เงิน 35 บาท อาจจะพอซื้อแค่น้ำเปล่าขวดเล็กเพียงขวดเดียวก็ได้
ทำให้การเก็บออมเงินทุกวันนี้ต้องคิดให้มากขึ้น และทางออกหนึ่งที่ง่ายและสามารถทำให้ในอีก 10 ปี เงิน 35 ของเราในตอนนี้ สามารถนำไปซื้อ 1 ชาม ก๋วยเตี๋ยวพิเศษลูกชิ้นเพิ่มเส้นในอนาคตได้เหมือนกัน ก็คือการลงทุนครับ ไม่แน่นะเงิน 35 บาทของเราในวันนี้ อาจจะซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ทั้งเฟรนชายน์
ในอีกสิบปีข้างหน้าก็ได้นะครับ (จัดว่ากินกันให้เบื่อไปชาตินึงเลยครับ)
และด้วยวลีฮิตติดชาร์ต ที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” นั่นก็เพราะว่านอกจากเรามีโอกาสได้ผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนแล้ว เรายังมีโอกาสที่จะขาดทุน อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ว่าอนาคตช่างเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนซะเหลือเกิน อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่างๆได้ ลองคิดตามเล่นๆ จากตัวอย่างนี้นะครับ
ถ้าเราตัดสินใจลงทุนในหุ้นคิดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากปันผล ปีละ 8% – 10% ต่อปี ในตอนที่เราซื้อ มูลค่าหุ้นที่เราซื้อคือ 20 บาทต่อหุ้น แต่ปรากฎว่าผ่านไป 1 เดือน มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับบริษัทที่เราซื้อหุ้นออกมา สถานการณ์ทางการเมืองเกิดวุ่นวาย หรือต่างชาติดึงเงินออกไปจากตลาดหุ้นในประเทศ ทำให้ราคาหุ้น ตกไปจาก 20 บาท เหลือ 10 บาท จากที่เคยคิดว่าผ่านไป 1 ปีจะได้กำไร 8% – 10% จากการลงทุนซื้อหุ้นครั้งนี้ กลายเป็นว่าแค่ผ่านไป 1 เดือน ขาดทุนไปแล้ว 50% เราจะยังสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบหรือไม่ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ ควรจะขายทิ้งดีมั้ยก่อนที่ราคาหุ้นมันจะตกลงไปกว่านี้ หรือเป็นโอกาสดีที่จะลุย!! ซื้อเพิ่ม เพื่อเก็บไว้ทำกำไรระยะยาวไปเลย หรือนิ่งไว้ก่อนรอดูสถานการณ์ หรือเรียกง่ายๆว่าซุ่มเงียบนั่นเอง
ซึ่งทุกการตัดสินใจมีผลต่อทั้งเงินที่นำไปลงทุน และผลกำไรที่ได้จากการลงทุนทั้งนั้น ถ้าตกใจตื่นตูมขายขาดทุนไปซะก่อน แล้วพอถึงสิ้นปีราคาหุ้นกลับขึ้นมาเท่าเดิม แถมจ่ายปันผลอีกจะเสียดาย จิตตกกันไปเปล่าๆนะครับ เห็นมั้ยครับ การจะลงทุนก็ต้องเรียนรู้ และเตรียมความพร้อม รวมถึงการวางแผนที่ดี เพื่อที่การลงทุนของเราจะได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจ ลงทุนไปแล้ว กินอิ่ม นอนหลับ ทำงาน ไปเที่ยวได้อย่างสบายใจนะครับ
และการเตรียมตัวสิ่งแรกที่เราสามารถทำได้เลยคือการประเมินตัวเองครับ ว่าเราสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
จากตัวอย่างข้างต้น ถ้าราคามันตกไป 50% ภายใน 1 เดือนจะทำอย่างไร จะยังมีสติในการตัดสินใจหรือไม่ หรือในระหว่างการลงทุน เรายังจะมีความจำที่จะต้องนำเงินที่ไปลงทุนก้อนนั้นมาใช้จ่ายหรือไม่ ยิ่งถ้าเราจำเป็นต้องใช้เงินในช่วงที่ราคาตกไป 50% ถ้าคุณถอนเงินออกมาใช้ แสดงว่าคุณจะขาดทุนทันที 50% ถูกมั้ยครับ ในกรณีนี้การฝากเงินไว้กับธนาคารน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า การประเมินตัวเองก่อนจึงเป็นสิ่งสำคัญครับ
และเราจะได้จัดสรรเงินเก็บของเรา ว่าควรจะนำไปลงที่ หุ้น กองทุน หรือ ฝากประจำ เป็นสัดส่วนเท่าไหร่ ถ้าหุ้นตกเราก็ยังมีสติในการตัดสินใจได้ เพราะเราแบ่งเงินไว้ในกองทุนและเงินฝากสำรองไว้ให้อุ่นใจแล้ว หรือถ้าเราป่วยเข้าโรงพยาบาลจำเป็นต้องนำเงินออกมาใช้ เราก็มีเงินฝากไว้ใช้ในยามจำเป็นและ สามารถรอให้หุ้นหรือกองทุนที่เราซื้อไว้ ทำกำไรให้ผลตอบแทนเราได้ครับ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เรียกกันว่า “การกระจายความเสี่ยง”นั่นเอง เพียงเท่านี้การ ลงทุนของเราเป็นไปได้อย่างราบรื่นหมดห่วงสบายใจได้แล้ว
อ่านเพิ่มเติม >> เทคนิค จัดสรรเงินรายได้ เพื่อใช้จ่าย – ออมเงิน – ลงทุน <<