คนมีบ้านต้องรู้! ผ่อนบ้านแบบสบาย เลือก Retention หรือ Refinance ดีกว่า
เรื่องที่คนมีบ้านหลายคนต่างต้องทำความเข้าใจเมื่อเข้าใกล้ หรือกำลังครบเงื่อนไขของธนาคารในการยื่นขอ รีไฟแนนซ์บ้าน ที่ไม่วายมีเรื่องให้ปวดหัวเพิ่มเมื่อไปติดต่อธนาคาร แต่กลับมีอีกตัวเลือกที่ธนาคารมักจะเสนอซึ่งก็คือ การรีเทนชั่น แล้ว รีไฟแนนซ์ ดีไหม แล้วเราจะ “เลือก Retention หรือ Refinance ดีกว่า”
ซึ่งหากวันนี้คุณยังไม่รู้ว่าต่างกันอย่างไร เราจะพาคุณผู้อ่านไปทำความเข้าใจ พร้อมเทียบให้เห็นชัดว่าแบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน
รีเทนชั่นบ้าน หรือ รีไฟแนนซ์บ้าน คืออะไร
ก่อนอื่นก็มาเริ่มกันที่การแยกความแตกต่างระหว่างคำว่า “Retention” กับ “Refinance” เพื่อให้เกิดความเข้าใจในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องบ้านมากขึ้น ดังนี้
Retention – รีเทนชั่น จะเป็นการขอเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคารเดิมซึ่งจะเป็นวิธีในการต่อรองขอลดดอกเบี้ยในเรทอัตราที่ต่ำลงซึ่งสามารถทำได้ทั้งบ้านและคอนโด โดยธนาคารจะมีการสอบประวัติการผ่อนชำระของผู้กู้ร่วมด้วยซึ่งส่วนใหญ่จะขอรีเทนชั่นเมื่อผ้อนบ้านครบ 3 ปี หรือตามที่ธนาคารกำหนด
Refinance – รีไฟแนนซ์ จะเป็นการยื่นกู้สินเชื่อบ้านกับธนาคารใหม่เพื่อลดอัตราลอยตัวที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นซึ่งส่งผลให้ผู้กู้ผ่อนชำระเป็นจำนวนเงินมากขึ้น การรีไฟแนนซ์จึงจะช่วยลดอัตราดอกเบี้ยให้ผู้กู้ผ่อนชำระกับธนาคารใหม่ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าซึ่งส่วนใหญ่จะทำได้เมื่อผ่อนชำระบ้าน หรือคอนโดครบ 3 ปี หรือตามระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด
ข้อดี – ข้อเสียของการ Retention และ Refinance
ต่อมาก็จะพูดถึงข้อดี – ข้อเสียเพื่อนำไปเปรียบเทียบว่าการว่าแบบไหนดีกว่ากันก่อนตัดสินใจ Refinance หรือ Retention ดังนี้
Retention (รีเทนชั่น)
ข้อดี : ไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมเอกสารต่าง ๆ เช่น ทะเบียนบ้าน สัญญาเงินกู้ บัตรประชาชน หรืออื่น ๆ เพื่อนำไปติดต่อเพื่อยื่นกู้กับธนาคารใหม่ อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายเพียงแค่เสียค่าธรรมเนียม 1 -2% ของวงเงินกู้และระยะเวลาที่อนุมัติก็รวดเร็ว
ข้อเสีย : ส่วนลดอัตราดอกเบี้ยไม่เยอะ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร
Refinance (รีไฟแนนซ์)
ข้อดี : จะให้อัตราดอกเบี้ยในเรทที่ต่ำ โดยสามารถเปรียบเทียบเลือกอัตราดอกเบี้ยได้หลายธนาคาร
ข้อเสีย : ต้องใช้เวลาในการเตรียมเอกสารการขอกู้ใหม่ทั้งหมด รวมถึงมีค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายและระยะเวลาในการอนุมัติค่อนข้างรอนานกว่า
เลือก Retention หรือ Refinance อันไหนดีกว่ากัน?
แล้ว Retention หรือ Refinance อันไหนดีกว่ากัน ? หากอิงจากข้างต้นจะเห็นได้ชัดเลยว่าการ Retention คือวิธีการติดต่อธนาคารเดิมเพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะได้ดอกที่ถูกลง แต่ส่วนใหญ่ยังแพงกว่าการขอรีไฟแนนซ์ที่มาจากการยื่นกู้กับธนาคารเจ้าใหม่ ที่สามารถเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยได้หลาย ๆ ที่ซึ่งค่อนข้างให้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกและตัดเงินต้นมากขึ้นทำให้ผ่อนบ้านหมดได้ไวกว่า อย่างไรก็ตาม Retention ก็ยังมีข้อได้เปรียบที่ไม่ต้องเตรียมเอกสารใด ๆ แค่อาจจะมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมที่ต้องเสียเพิ่มเติมประมาณ 1-2 % ของวงเงินกู้ทั้งหมดและเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นแนะนำให้ดูตัวอย่างการคำนวณความคุ้มค่าระหว่าง Retention VS Refinance ดังนี้
ตัวอย่างคำนวณความคุ้มค่าระหว่าง Retention และ Refinance
นาย A ยื่นกู้ซื้อบ้าน 4 ล้านโดยได้อัตราดอกเบี้ยที่ 4.52% เมื่อนำไปคำนวณงวดผ่อนชำระจะต้องผ่อนชำระอยู่ที่ 20, 315 บาทต่อเดือน
เมื่อครบ 3 ปีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวก็ปรับขึ้นเป็นอัตราที่ 5.90% ทำให้ค่างวดผ่อนชำระอยู่ที่ 23,725 บาทต่อเดือนซึ่งแพงขึ้นถึง 3,410 บาทต่อเดือน
นาย A จึงทำการไปปรึกษากับธนาคารเดิมเพื่อขอ Retention บ้าน โดยธนาคารเดิมให้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงในอัตรา 4.00 % ซึ่งทำให้งวดผ่อนชำระถูกลงเหลือ 19,097 บาทต่อเดือนซึ่งช่วยประหยัดเงินไปได้ 1,218 บาทต่อเดือน
ต่อมานาย A ได้ไปติดต่อธนาคารใหม่หลายที่ซึ่งมีธนาคารแห่งหนึ่งให้ดอกเบี้ยถูกสุดอยู่ที่ 3.66% ทำให้งวดผ่อนชำระต่อเดือนอยู่ที่ 18,321 บาทซึ่งประหยัดไปถึง 1,994 บาท
จากข้อมูลข้างต้นจะค่อนข้างเห็นได้ชัดว่าการรีไฟแนนซ์นั้นคุ้มค่ากว่า ด้วยยอดผ่อนชำระค่างวดต่อเดือนนั้นถูกลง
ข้อควรระวัง: สำหรับการรีไฟแนนซ์ให้คิดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ค่าธรรเนียมการจำนอง ค่าประกันอัคคีภัย ค่าอากรแสตมป์ ร่วมด้วยแล้วค่อยนำไปหักลบกับการรีเทนชั่นว่าแบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน
สำหรับใครที่กำลังคิด “เลือก Retention หรือ Refinance ดีกว่ากัน” คงจะพอได้คำตอบกันแล้วว่าการรีเทนชั่นนั้นจะเหมาะกับคนที่ไม่อยากเสียเวลาในการเตรียมเอกสารใหม่ หรือคำนวณแล้วว่าธนาคารเจ้าใหม่ที่ไปติดต่อไม่ได้ให้อัตราดอกเบี้ยที่คุ้มค่าต่อการย้ายเพื่อยื่นรีไฟแนนซ์
แต่หากใครสามารถหาดอกเบี้ยได้ถูกลง แถมลดค่างวดผ่อนชำระในแต่ละเดือนได้มากขึ้นก็ควรเลือกรีไฟแนนซ์เพราะถึงอย่างไรการยื่นกู้เอกสารก็เคยทำมาแล้วครั้งแรกตอนยื่นกู้บ้านซึ่งหากยื่นกู้อีกครั้งแต่คุ้มค่ากว่าก็คงไม่ใช่เรื่องยากในการเตรียมเอกสาร