ใกล้ช่วงเทศกาลตรุษจีนแบบนี้ หลายคนคงฝันหวานถึง อั่งเปา ,โบนัสสิ้นเดือน กันใหญ่ บางคนถึงกับขั้นวางแผนช้อปปิ้งกันแล้ว โดยเฉพาะสาวๆ คงไม่พลาดที่จะทำรายการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ เครื่องสำอาง กระเป๋า รองเท้า และอีกมากมาย เช่นเคยค่ะ บทความของเราวันนี้ เราจะมาพูดถึงเรื่องการใช้เงินกันสักหน่อย เราลองมาสังเกตพฤติกรรมการใช้เงินของเรากันดูว่า เข้าข่ายใช้เงินแบบไร้สติไหม และใครที่บอกว่าอยากมีเงินเก็บ อยากมีรายได้เข้ามา ตั้งใจอ่านให้ดีๆค่ะ จะได้เอาไปปรับใช้ให้เหมาะสมในการใช้ชีวิตประจำวัน
1. ซื้อของมากมาย
ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น มีใครคนหนึ่งเคยพูดถึงความแตกต่างระหว่างบ้านของเศรษฐีกับยาจก(คนจน) ไว้ว่า บ้านเศรษฐีดูสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ของใช้น้อยชิ้น แต่ให้คุณค่ามากมาย ส่วนบ้านของยาจกจะเต็มไปด้วยข้าวของสารพัดอย่าง ทั้งที่ใช้ได้และไม่ได้ใช้ เศรษฐีทั้งหลายต่างตระหนักดีว่า ของแต่ละชิ้นนั้นต้องมีประโยชน์และสมเหตุสมผลกับจำนวนเงินที่ซื้อมา ต่างกับคนจนที่ซื้อโดยไม่ค่อยคิดถึงประโยชน์แค่ลดราคาก็ซื้อแล้วหรือได้ของแถมก็ควักเงินจ่ายไปอย่างง่ายดาย สินค้าฟุ่มเฟือยที่ซื้อด้วยความอยากได้ แต่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นคุณผู้หญิงหรือคุณผู้ชายก็สามารถจ่ายเพื่อความต้องการนี้ได้ เพียงแค่คุณผู้ชายจะออกแนวนานๆจ่ายครั้ง ส่วนคุณผู้หญิงจะชอบซื้อจุกจิกจ่ายทีละน้อยแต่มีให้จ่ายอยู่บ่อยๆ พฤติกรรมการบริโภคและการใช้เงินในลักษณะแบบนี้ล่ะค่ะ ที่ทำให้เราไม่ค่อยมีเงินเก็บ ได้มาก็ใช้ไป เหลือเก็บไม่ถึง 10 % ของรายได้ ฉะนั้นแล้ว ถ้าลดรายจ่ายอะไรที่ไม่จำเป็นออกได้ เราก็จะมีเงินคงเหลือเพิ่มมากขึ้น แนะนำให้แบ่งเงินส่วนนั้นไปลงทุนหรือฝากธนาคารไปเถอะค่ะ
2. ติดสังสรรค์ ปาร์ตี้ในกลุ่มสังคม
ไม่ว่าจะเป็นสังคมในการทำงานหรือกับเพื่อนฝูง ถึงแม้ว่าการสังสรรค์เป็นเรื่องที่ดีที่จะช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่ทำงานหรือพันธมิตรทางธุรกิจ แต่บ่อยไปก็ใช่ว่าจะดี เพราะหมายถึงว่าเราจะต้องจ่ายเงินในส่วนนี้เพิ่มขึ้น และถ้าหากวันไหนดื่มหนักก็เสียสุขภาพ อาจจะเจ็บป่วยได้ในอนาคต เป็นอุปสรรคต่อหน้าที่การงาน ดังนั้นจึงควรสังสรรค์แต่พอดี ให้นานๆทีมีครั้ง เป็นการเซฟสุขภาพและตังค์ในกระเป๋าของคุณด้วย
3. ขาดการวางแผนการใช้เงิน
กล่าวคือ ไม่ประมาณตนในการใช้จ่ายนั่นเอง ยิ่งถ้ามีรายได้เข้ามาทางเดียว คือ เงินเดือน,เงินค่าจ้าง ฯ แต่ในขณะที่รายจ่ายนั้นต้องจ่ายหลายทาง ทั้ง ค่าเดินทาง ค่าน้ำมันรถ ค่ากิน ค่าที่พัก ค่าเลี้ยงดูครอบครัวต่างๆนานาๆ ซึ่งหากแต่ละเดือนไม่ทำงบประมาณไว้สำหรับจ่ายในส่วนที่จำเป็นก็จะทำให้เราอนาคตทางการเงินไม่ดีเท่าที่ควร การได้มาแล้วใช้ไปไม่เหลือเก็บ เมื่อถึงคราวจำเป็น อาจจะทำให้บางคนต้องเลือกแก้ปัญหาแบบทางลัดรวดเร็วทันใจด้วยการกู้เงิน โอ่งน้ำที่ก้นรั่ว ไม่ว่าเราจะเทน้ำลงไปเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยเต็มนั่นเอง และการเป็นหนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์ซะเท่าไหร่
4. ไม่ศึกษาการลงทุนในรูปแบบที่หลากหลาย
บางคนก็ชอบเก็บออมอย่างเดียว ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นทุกวัน(สามารถเปรียบเทียบได้จากค่าครองชีพจากอดีตถึงปัจจุบัน) เดี๋ยวนี้มีเงินเก็บหลักหมื่นในธนาคารนั้น บอกเลยว่าไม่พอใช้ในอนาคตแน่ๆ ยิ่งหากใครมีครอบครัวด้วยแล้ว ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งจะเพิ่มทวีคูณขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะเราไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นการลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ที่พูดถึง มหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขนั้น เขาจะไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปเปล่าประโยชน์ แม้แต่งานอดิเรกเขาก็พยายามดึงให้มาเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรได้ และไม่ว่าจะการร่วมลงทุนหรือลงทุนด้วยตนเองก็ตามแต่ เราควรมีการศึกษาให้มากๆ ถามผู้รู้ที่เชี่ยวชาญ ติดตามข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อหาทิศทางและโอกาสในการลงทุนในช่วงเวลาต่างๆ
5. หลงใหลอบายมุข
โดยเฉพาะคุณผู้ชาย ที่รู้ๆกันอยู่แล้วว่า สุรา นารี ทั้งหลายหรือแม้แต่การพนัน การเสี่ยงดวงต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ มีแต่เสียกับเสีย ก่อให้เกิดปัญหาชีวิตในเรื่องอื่นๆตามมามากมาย เช่น ปัญหาครอบครัว หนักๆก็ไม่พ้นปัญหาเรื่องเงินๆทองๆ โดยเฉพาะการพนัน ลงเล่นแรกๆอาจจะได้ นานๆไปมีแต่เสีย หากยังไม่หยุดอาจจะนำไปสู่ความล่มจมในที่สุด บางรายถึงกับต้องจบชีวิตตัวเอง เพราะโดนทวงหนี้ หรือล้มละลาย เรื่องน่าเศร้าแบบนี้ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราหรือคนที่เรารักหรอกจริงไหมค่ะ ฉะนั้นแล้ว อย่างเพิ่งไปหลงใหลกับความสุขชั่วครู่ชั่วยาม เพราะนั่นอาจจะทำให้เกิดหายนะในอนาคตได้