“ตั้งใจเรียนหนังสือนะ โตขึ้นจะได้รวยเป็นเจ้าคนนายคน”
เป็นคำสอนที่เด็กหลาย ๆ คนได้ยินได้ฟังมาตลอด แต่ในความเป็นจริงของปัจจุบัน ยังมีคนจำนวนมากที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่ก็ยังไม่สามารถยกระดับฐานะของครอบครัวได้ หรือ บางครั้งเราอาจจะพบว่าเด็กหัวกะทิบางคนยังสร้างรายได้ หรือหาเงินเดือนได้น้อยกว่าเด็กที่มีผลการเรียนระดับปานกลางเสียด้วยซ้ำ ความจริงแล้วเกรดจากการเรียนส่วนหนึ่งมาจากการท่องจำและการแก้โจทย์ข้อสอบ แต่ในชีวิตจริง เราใช้ความสามารถและความรู้ที่หลากหลายกว่าในตำรา คนเรียนเก่งจึงไม่ใช่คนต้องประสบความสำเร็จเสมอไป นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่า การศึกษาสูง แต่ยังไม่รวย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการศึกษาไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งทางการเงินของผู้คน
ครั้งหนึ่งผู้คนส่วนใหญ่ต่างต้องการให้ลูกเข้าเรียนต่อในสายวิทย์ เพราะยึดติดว่าเรียนต่อสายนี้ได้จบไปจะได้เป็นหมอ จะมีรายได้สูง ๆ แต่ในความเป็นจริงนั้น ยังมีสาขาวิชาอื่นให้แตกแขนงเลือกเรียนเพิ่มได้อีกมากนอกเหนือจากสายวิทย์ เช่น นักแต่งเพลง นักแสดงที่เรียนสายศิลป์และไปศึกษาต่อนิเทศศาสตร์ก็สามารถสร้างรายได้สูง ๆ ไม่แพ้เด็กที่เรียนจบสายวิทย์เช่นกัน ความเข้าใจและทัศนคติที่ผิด ๆ ตีกรอบมุมมองและตัดสินความสำเร็จของคนต่างจากความเป็นจริงไปมาก ไม่ว่าจะเป็นเรียนเลขไม่เก่ง จะไปทำมาหากินอะไรได้ ก็เป็นมุมมองที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงเช่นกัน เพราะคนเราสามารถมีความถนัดในด้านที่ต่างกันได้ สำคัญว่าต้องจับจุดเด่นจุดเก่งของตนเองให้เจอ เฉก เช่นเดียวกับที่เราไม่ควรไปตีค่าความสามารถของปลาด้วยการให้มันปีนต้นไม้ นั่นเอง
ใบปริญญาอาจจะมีประโยชน์ในการสมัครงาน แต่จะช่วยยกฐานะการเงินได้ไม่มากนัก ถ้าคน ๆ นั้นไม่รู้จักนำความรู้ที่มีมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกทั้งการจำกัดความรู้หยุดที่ระดับปริญญาก็เป็นอีกหนึ่งอิฐบล็อกที่ล็อคความร่ำรวยของคน ๆ นั้น ในหนังสือเรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางซึ่งเป็นผลงานการเขียนของ Keith Cameron Smith ได้เผยความจริงส่วนหนึ่งว่าคนรวยมักจะแสวงหาความรู้ตลอดชีวิต ในขณะที่คนชนชั้นกลางเข้าใจว่าการเรียนรู้สิ้นสุดลงที่โรงเรียน ทั้งนี้ การหมั่นหาความรู้อย่างไม่หยุดนิ่งถือเป็นหัวใจของเศรษฐีอย่างแท้จริง โดยอาศัยพื้นฐานความรู้ที่ได้รับจากโรงเรียนแล้วนำมาศึกษาขยายฐานความรู้ให้เพิ่มพูนขึ้น เฉพาะทางมากขึ้น และลงในรายละเอียดมากยิ่งขึ้น อนึ่ง ความรู้ที่สำคัญ แต่มักไม่ได้มีการสอนในโรงเรียนอย่างเรื่องการบริหารการเงินส่วนบุคคล หรือ เหรียญ 4 ด้าน ก็ล้วนเป็นผลมาจากนิสัยรักการอ่านที่นำพาคน ๆ หนึ่งไปสู่ความร่ำรวยได้
แต่หากจะค้นดูว่าอะไรกันแน่ที่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่งคั่งทางการเงิน ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจาก “วิธีคิด” มหาเศรษฐีระดับโลกหลาย ๆ คนมักมีมุมมองเรื่องการลงทุนแบบเดียวกัน นั่นคือ ชีวิตเหมือนการลงทุนที่ต้องกล้ารับความเสี่ยงต่อเรื่องที่ผ่านการไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว ยกตัวอย่างเช่น คนธรรมดาทั่วไปอาจจะไม่กล้าเสี่ยงลงทุนในหุ้น หรือพันธบัตรต่าง ๆ เพราะเห็นถึงความผันผวนทางราคาค่อนข้างมากโดยที่ไม่ได้ศึกษาให้ถ่องแท้ว่าแท้จริงแล้วเป็นรูปแบบการลงทุนที่คุ้มค่ามากในระยะยาวถ้าเทียบกับการฝากเงินในธนาคาร ในทางตรงกันข้าม คนจำนวนไม่น้อยกลายเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ เมื่อหลงเข้าไปในเกมตลาดหุ้น ด้วยความคิดฉาบฉวยว่าจะได้รวยเร็ว ๆ แต่อาศัยความบ้าบิ่นกล้าเสี่ยงอย่างเดียวก็ไม่ช่วยอะไร เพราะนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่าง วอร์เรน บัพเฟต์ มหาเศรษฐีระดับโลกเคยแบ่งปันมุมมองเรื่องการลงทุนว่า ต้องกล้าเสี่ยงในเรื่องที่ตนรู้จักดี แม้แต่เขาเองที่มีประสบการณ์มาก ๆ แต่ในช่วงที่หุ้นของธุรกิจกลุ่มคอมพิวเตอร์มีแนวโน้มเติบโตสูง นักลงทุนต่างก็ทุ่มเงินลงไปกันใหญ่อย่างบ้าคลั่ง แต่ตัวเขากลับไม่ให้ความสนใจมากนักเพราะเขายังไม่สามารถตีโจทย์ออกว่ากิจการลักษณะนี้จะสามารถทำกำไรและต่อยอดธุรกิจต่อไปได้อย่างไร
ซึ่งในเวลาต่อมาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นกับกลุ่มธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ ตัวเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบ สำหรับวอร์เรน บัพเฟต์ กูรูระดับโลกเรื่องการลงทุน เขายึดหลักการที่ว่า การลงทุนจะสำเร็จได้ต่อเมื่อผ่านการศึกษาให้รู้แจ้ง รู้จริงและ จากนั้นคือการรอเวลาเก็บเกี่ยวเหมือนกับการทำสวน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสภาพตลาดไม่แน่นอน อย่าตระหนก เพราะผู้คนส่วนใหญ่จะพากันเทขายหุ้นในราคาต่ำ ๆ ทั้ง ๆ ที่ต่างก็ซื้อมาในราคาที่สูง ยอมเจ็บตัวขาดทุน ซึ่งนักลงทุนอย่างเขากลับมองว่าเป็นจังหวะที่ดีและค่อย ๆ ซื้อในราคาต่ำ ๆ แบบนี้ เพื่อสร้างราคาขายที่สูงขึ้นในเวลาที่เหมาะสม ทำให้เขาเก็บผลกำไรงาม ๆ ได้ทุกครั้ง
ดังนั้นการศึกษาจึงเปรียบเสมือนบันไดก้าวแรกที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเองและสร้างความร่ำรวยให้กับชีวิต แต่ทว่าคนที่หาเงินเป็น คนที่หาเงินได้คราวละมาก ๆ ก็ยังไม่พบความมั่งคั่งร่ำรวยเท่ากับคนที่ใช้เงินเป็น เพราะต่อให้มีเงินหลักแสน หลักล้าน แต่ถ้าไม่รู้จักวิธีเพิ่มพูนรายได้ เงินก็สามารถหมดได้ในเวลาไม่นาน ดังนั้นคนรวยจะให้ความสำคัญกับการออมและการต่อยอดเงินมากกว่านั่นเอง