ปัจจุบันบัตรเครดิตถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของใครหลาย ๆ คน เนื่องจากสะดวก รวดเร็ว อยากได้สินค้าแบบไหนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลาหาตู้เอทีเอ็มเพื่อกดเงินสดออกมาใช้ และด้วยความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอยนี่แหละค่ะ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังตกเป็นหนี้จากบัตรเครดิตอยู่ ต่อไปนี้คือสัญญาณอันตรายที่กำลังเตือนว่า คุณกำลังจะมีหนี้ท่วมหัวจากบัตรเครดิตอยู่ ลองมาดูกันค่ะว่า คุณเป็นหนึ่งในความเสี่ยงของการเป็นหนี้ท่วมหัวจากบัตรเครดิตอยู่หรือเปล่า แล้วจะมีวิธีการปลดหนี้บัตรเครดิตได้อย่างไรได้บ้าง
1.ใช้บัตรเครดิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง
ด้วยความสะดวกสบายและรวดเร็ว ด้วยสโลแกนที่ว่า จ่ายก่อนผ่อนที่หลัง ทำให้หลาย ๆ คนมักจะติดกับดักของความสะดวกสบายที่ว่ามานี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าที่ตนเองอยากได้ก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ เพราะถึงแม้เงินในกระเป๋าจะไม่พอแต่ถ้ามีบัตรเครดิตเพียงใบเดียว สิ่งของที่คุณอยากได้อยากมีก็เป็นเรื่องง่ายได้ในพริบตา
2.จ่ายขั้นต่ำ 10 %ของหนี้ทั้งหมด
สำหรับบางคนที่มีบัตรเครดิตอยู่ในมือและชอบที่จะชำระหนี้ขั้นต่ำอยู่บ่อย ๆ คุณรู้หรือไม่ว่า การจ่ายขั้นต่ำจะทำให้หนี้ที่มีอยู่ของคุณนั้นไม่มีวันหมดไปได้ง่าย ๆ หรืออาจจะกลายเป็นหนี้หัวโต เพราะนอกจากคุณจะต้องเสียค่าดอกเบี้ยมหาโหดให้กับทางธนาคารไม่น้อยกว่า 20% ต่อปีแล้ว ซึ่งหากนับเป็นจำนวนเงินถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณเข้าสู่วงจรความยากจนเข้าไปทุกที นอกจากกำไรจะไม่ได้แล้วยังขาดทุนเพิ่มไปอีก
3.ใช้รายได้ไปผ่อนชำระหนี้เกินกว่า 40 %
บ่งบอกว่าสภาพการเงินของคุณเริ่มมีปัญหาหากในแต่ละเดือนคุณมีหนี้ที่จะต้องชำระมากกว่าที่คุณหามาได้และทำให้คุณต้องตกอยู่ในภาวะจำยอมเงินขาดมือหรือไม่ค่อยพอใช้ในแต่ละเดือน เพราะต้องนำเงินรายได้ที่ได้รับในแต่ละเดือนนั้นมาชำระค่าหนี้บัตรเครดิตจนทำให้ในแต่ละเดือนเงินแทบจะไม่มีติดกระเป๋าบางคนถึงกับเงินขาดมือไปเลยก็มี
4.กดเงินสดจากบัตรเครดิตเพื่อนำมาชำระหนี้เป็นเวลาติดต่อกันหลายเดือน
คนส่วนใหญ่หลาย ๆ คนมักจะคิดว่า การกดเงินสดจากบัตรเครดิตอีกใบเพื่อนำมาชำระหนี้บัตรที่เหลือ เป็นการจัดการหนี้สินที่ง่ายที่สุดอีกทั้งยังช่วยให้การเงินของคุณไม่ขาดมือ หากใครที่กำลังทำแบบนี้อยู่แล้วล่ะก็ ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ผิด เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้หนี้ของคุณหมดแล้วยังเป็นการเพิ่มหนี้สินขึ้นไปเรื่อย ๆ สุดท้ายเมื่อคุณหาเงินมาชำระหนี้ได้ไม่ทันก็ต้องจบลงด้วยการเสียเครดิตทางการเงินหนักสุดอาจจะถึงขั้นล้มละลายไปเลย
5.เริ่มยืมเงินคนรอบข้างมากขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะหนี้บัตรเครดิตที่คนส่วนใหญ่ใช้กันนั้นเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งมีแต่เสียกับเสีย โดยเฉพาะกับคนที่ไม่รู้วิธีการจัดการค่าใช้จ่ายหรือบริหารเงินไม่เป็น ซึ่งทำให้ถึงกับมีปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ จนต้องหันไปหยิบยืมคนรอบข้าง
6.เอาเงินจากส่วนอื่นมาชำระค่าบัตรเครดิตตามใบที่เรียกเก็บ
เช่น เงินออม เงินสำรองฉุกเฉิน เป็นต้น บางคนมักจะแก้ปัญหาด้วยการยืมเงินออม หรือเงินฉุกเฉินเพื่อนำมาชำระหนี้ตามใบเรียกเก็บเงินในแต่ละเดือน ส่วนหนึ่งเพราะคิดว่ายืมไปใช้ก่อนเดี๋ยวค่อยหามาคืน อีกทั้งไม่กล้าที่จะบอกกับคนในครอบครัวเกี่ยวกับเรื่องหนี้สินที่มีอยู่
7.ไม่มีเงินเหลือในบัญชีเลย
เพราะเงินส่วนใหญ่ที่หามาได้หมดไปกับการจ่ายค่าบัตรเครดิตที่เรียกเก็บในทุก ๆ เดือน และหากหยิมยืมใครไม่ได้ก็ต้องนำเงินเก็บมาใช้ก่อน
8.บัตรเครดิตถูกนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
เพราะคุณไม่มีเงินเหลือที่จะนำมาใช้จ่ายในทุก ๆ วัน ในเมื่อเงินก็ไม่มีเหลือเก็บ การใช้บัตรเครดิตจึงเป็นทางออกที่ง่ายกว่าการหยิบยืมเงินคนรอบ ๆ ข้าง
หากใครที่กำลังตกอยู่ในวังวนของการเป็นหนี้และกำลังมองหาวิธีการปลดหนี้จากบัตรเครดิต ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูสิคะ
1.หยุดก่อหนี้เพิ่ม
ในที่นี้หมายถึงหยุดทุกอย่างที่จะก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินตามมายิ่งใครที่มีหนี้สินที่พอกพูนอยู่ก็จะต้องไม่ก่อหนี้เพิ่ม ซึ่งวิธีที่น่าสนใจและง่ายที่สุดก็คือ การลดค่าใช้จ่ายคงที่ ๆ เราต้องเสียในทุก ๆ เดือน เช่น ค่าผ่อนรถยนต์ ค่าบ้าน ค่าคอนโดที่อยู่อาศัย ก็ควรจะนำไปขายเพื่อจะช่วยให้การเงินของคุณมีสภาพคล่องขึ้น โดยที่คุณไม่จำเป็นที่จะต้องลดค่าใช้จ่ายค่าอาหาร ค่าเดินทาง ไม่ซื้อเสื้อผ้า
2.ตรวจสอบหนี้คงค้างทั้งหมดที่เรามีอยู่
บางคนถึงกับมีความกังวลและไม่อยากที่จะรับรู้เรื่องของหนี้สินที่มีอยู่ ซึ่งส่วนนี้ถือคนที่มีหนี้ทุกคนจำเป็นที่จะต้องทำ เพราะเมื่อเราทราบว่าหนี้ทั้งหมดนั้นมีอยู่เท่าไหร่จะช่วยให้เราจัดการหนี้สินได้อย่างตรงจุดและจะได้วางแผนในการจัดการหนี้สินได้อย่างถูกต้อง
3.หารายได้เพิ่ม
ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า มือถือ ของเล่นของสะสม ของเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้วให้นำออกมาขาย บางคนอาจจะใช้ความรู้ที่มีอยู่ด้วยการรับจ้างสอนพิเศษ รับแปลเอกสาร พิมพ์งาน ขายของออนไลน์ เป็นต้น เพื่อที่จะได้นำเงินเหล่านี้มาชำระหนี้
4.หยุดชำระหนี้ไปเลย
ในกรณีที่แม้แต่เงินขั้นต่ำก็ไม่พอจ่ายให้หยุดชำระหนี้ไปเลยชั่วคราว แล้วก็หารายได้เพิ่ม เพื่อสะสมเงินเอาไว้ก่อนแล้วค่อยไปเจราจาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินเพื่อขอคำแนะนำ
5.เจรจาพูดคุย
ปรึกษากับสถาบันการเงินเพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ย หลาย ๆ คนมักจะกลัวที่จะเข้าไปเจรจาพูดคุย แต่รู้หรือไม่ว่า การเจราจาอย่างตรงไปตรงมาเป็นทางออกที่ดีที่สุดและเรามีโอกาสที่จะยืดการชำระเงินได้นานขึ้น หรืออาจจะได้ลดทั้งเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยก็ได้ ในส่วนนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินนั้น ๆ ด้วย