หากเราพูดถึงคำว่า เดินบัญชี แน่นอนว่าเทคนิคการเดินบัญชีนี้จะไม่ค่อยมีความจำเป็นสักเท่าไหร่สำหรับคนที่มีบัญชีธนาคารไว้เพียงเก็บเงิน โอนเข้า และถอนออกเท่านั้น แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องการทำธุรกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเอาไว้เป็นแหล่งลงทุน จะใช้ขอสินเชื่อ และอื่นๆอีกมากมาย เทคนิคการเดินบัญชีจะเป็นอะไรที่มีความสำคัญอย่างมากเลยล่ะในการช่วยให้เราทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้สะดวกและก็เกิดขึ้นได้ง่ายสำหรับเรา
บัญชีของเรานั้นเปรียบได้กับตัวชี้วัดความสามารถในการบริหารเงินสำหรับธนาคาร ยิ่งมียอดคงเหลือที่มาก ยิ่งมีระยะเวลาการเปิดบัญชีที่ยาวนานมากเท่าไหร่ ทางธนาคารก็จะตีความว่าเราเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการบริหารมากขึ้นเท่านั้น แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถใช้บัญชีของเราในการทำธุรกิจการเงินต่างๆได้ทั้งหมด ถ้าหากว่าเราต้องการให้บัญชีของเราสามารถทำธุรกรรมการเงินต่างๆได้สะดวก เราก็ต้องพึ่งเทคนิคการเดินบัญชี ซึ่งเทคนิคการเดินบัญชีจะสามารถช่วยเราได้อย่างมากเลยล่ะในการทำเรื่องขอกู้หรือสินเชื่อต่างๆนะ และเราก็มีเทคนิคการเดินบัญชีอย่างง่ายๆดังนี้
ตรวจสอบว่ามีรายชื่อในอยู่เครดิตบูโรหรือเปล่า
ก่อนที่เราจะใช้เทคนิคการเดินบัญชี เราควรตรวจสอบในส่วนนี้ก่อนการเดินบัญชีทุกอย่างที่เรากำลังจะทำนั้น จะไม่มีความอะไรเลยนะถ้าหากว่าเรามีรายชื่ออยู่ใน Blacklist ของเครดิตบูโร ซึ่งเครดิตบูโรก็คือองค์กรกลางที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อ บัตรเครดิตของคนทุกคน โดยมีแหล่งข้อมูลมาจากสถาบันการเงินต่างๆ โดยจะเช็คว่าเรามีความสามารถในการชำระหนี้เป็นอย่างไร มีหนี้สินมากน้อยแค่ไหน จ่ายตรงเวลาหรือเปล่า ฉะนั้นแล้วถ้าหากว่าเรามีรายชื่ออยู่ใน Blacklist ของเครดิตบูโร เราก็ควรที่จะติดต่อกับทางธนาคารให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะขอคำปรึกษาในการทำให้รายชื่อหายไปจาก Blacklist ของเครดิตบูโร ไม่อย่างนั้นแล้วการเดินบัญชีทุกอย่างจะไม่เป็นผล
เริ่มเดินบัญชี นำเงินเข้าฝากเข้าประจำ
เทคนิคการเดินบัญชีขั้นต่อไป ก็คือการนำเงินฝาก ซึ่งทางธนาคารจะตรวจสอบว่าบัญชีของเรามีการเดินหรือไม่ โดยสิ่งแรกที่ดูก่อนเลยก็คือการฝากเงิน เพราะการฝากเงินนั้นเปรียบได้กับความสามารถในการหาเงิน เปรียบได้กับรายได้ของตัวบุคคลนั้นว่ามีรายได้จากการทำงานหรือจากการดำเนินงานนั้นเป็นเท่าไหร่ๆ ซึ่งจะมีการมุ่งเน้นไปที่รายละเอียดในส่วนนี้อย่างมากเลยล่ะ และถ้าหากว่าเราอยากให้บัญชีธนาคารของเรามีการดำเนินการหรือมีการเดินบัญชีที่สวยๆด้วยแล้ว เราก็ควรที่จะนำเงินเดือนหรือนำกำไรสุทธิจากการทำธุรกิจทุกครั้ง เข้าบัญชีธนาคารทันทีเลยนะ อย่างน้อยๆก็เพื่อที่จะให้เงินของเรามีการเดินอยู่ในบัญชีอยู่
ควรจะมีการถอนเงินบ้าง
การเดินบัญชีที่ดีนั้น จะต้องมีการถอนเงินบ้างในบางครั้ง เพราะว่าการถอนเงินนั้นจะเป็นการแสดงถึงความเคลื่อนไหวของบัญชีของเรา ซึ่งเราสามารถถอนเงินในบัญชีนั้นออกมาใช้ได้ตามปกติ แต่เราไม่ควรที่จะถอนหมดทั้งบัญชีเพราะว่านั่นหมายถึงสถานะการเงินของเราที่ย่ำแย่หรืออาจจะหมายถึงสภาพการเงินของธุรกิจของเราที่ไม่ดีสักเท่าไหร่นัก ฉะนั้นแล้วเราจึงควรเดินบัญชีอย่างมีเทคนิคนะ
พยายามมียอดคงเหลือที่เพิ่มขึ้น
ถ้าหากว่ายอดเงินคงเหลือของเรามีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างเริ่มๆ นั่นหมายถึงความสามารถในการหมุนเงินของเรา โดยจะมีลักษณะฝากเข้ามากกว่าถอนออก ซึ่งทางธนาคารจะมีการตรวจสอบยอดเงินคงเหลือสะสมย้อนหลังประมาณ 6 เดือนเป็นอย่างมาก ฉะนั้นแล้วการเดินบัญชีควรจะทำให้นานมากกว่า 6 เดือนนะ และมียอดคงเหลือให้เพิ่มขึ้นกว่าครั้งก่อนทุกครั้ง ดังนั้นตัวเราเองควรที่จะพยายามปฏิบัติให้เป็นนิสัยนะในเรื่องของการฝากเงินและก็มียอดคงเหลือในบัญชีที่เพิ่มขึ้น
อย่าให้บัญชีหยุดนิ่ง
ถึงแม้ว่าเราจะเป็นบุคคลหนึ่งที่มีความสามารถในการทำรายได้ในแต่ละเดือนที่สูงก็จริง แต่การฝากเงินในบัญชีทิ้งไว้เฉยๆไม่ได้เป็นเรื่องที่ดีแน่นอน ซึ่งเพราะว่าทางธนาคารจะตีความว่าบัญชีนั้นมีความล้มเหลวในเรื่องของการบริหารเงินอย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบัญชีที่มีเงินฝากอยู่ในนั้นเพียง 1,000 บาท หรือมีเงินฝากอยู่ในบัญชีถึง 1,000,000 บาท แต่ถ้าหากว่าทั้งสองบัญชีนี้ไม่มีการฝากเข้าหรือถอนออก ทางธนาคารก็ตีความว่าเป็นบัญชีที่มีความล้มเหลวทางการเงินเหมือนกันทั้งสองบัญชี ฉะนั้นแล้วไม่ว่าเราจะทำธุรกรรมการเงินอะไรก็ตาม เราก็ควรที่จะนำเงินที่ได้มา ผ่านเข้าบัญชีธนาคารของเราทุกครั้งนะ
อ่านเพิ่มเติม : เทคนิค การเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement) ให้ดูดี
เทคนิคการ เดินบัญชี เหล่านี้จะมีส่วนช่วยเราในการทำเรื่องเกี่ยวกับธุรกรรมการเงินต่างๆกับธนาคารได้ง่ายขึ้นอย่างมากเลยล่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรทำเลยก็คือการดัดแปลงบัญชีของเรา เพราะว่านั่นหมายถึงการไม่ยอมรับในความสามารถในการเดินบัญชีของตัวเอง เพราะว่าในบางครั้ง เราก็อาจจะมีเรื่องที่จำเป็นจะต้องใช้เงินเยอะ จนทำให้ตัวเลขในบัญชีของเราไม่เป็นไปตามที่แผนที่วางเอาไว้ และจะส่งผลร้ายมากี่สุดสำหรับผู้ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว เพราะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการตรวจสอบบัญชีย้อนหลัง อาจจะทำให้เสียภาพลักษณ์ของบริษัทได้