การทำประกันชีวิตถือเป็นหนึ่งในการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลที่สำคัญในชีวิตของคนเรา ประกันชีวิตจากชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นการประกันชีวิตของเรา จุดมุ่งหมายหลักของประกันชีวิต ก็คือ ความคุ้มครองความเสี่ยงให้กับชีวิต เป็นการจ่ายเบี้ยประกันเพื่อคุ้มครองโอกาสและความไม่แน่นอนที่เราจะเสียชีวิตได้ในวันใดวันหนึ่ง หากเกิดเหตุการณ์สูญเสียขึ้นจริง ๆ บริษัทประกันก็จะทำการจ่ายเงินค่าชดเชยตามวงเงินที่เราทำประกันเอาไว้ รูปแบบของประกันชีวิตแบบนี้เป็นแบบดั้งเดิม เข้าใจง่าย ๆ ค่าเบี้ยประกันที่เราจ่ายไปก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่จ่ายเพื่อคุ้มครองการเสียชีวิต หากไม่เสียชีวิตก็จะไม่ได้รับเงินคืน
ต่อมาประกันชีวิตก็มีรูปแบบที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้ประกันชีวิตขายได้ง่ายขึ้น กรณีประกันชีวิตแบบดั้งเดิมที่จ่ายเบี้ยทิ้งนั้น หากคนที่ยังไม่เคยเกิดการสูญเสียก็อาจจะเข้าใจยาก เลยไม่ค่อยยอมจ่ายเบี้ยทิ้งกัน ประกันชีวิตเลยมีการพัฒนาให้มีรูปแบบของการประกันชีวิตพ่วงการสะสมทรัพย์เข้ามาด้วย โดยนอกจากมีความคุ้มครองในเรื่องของการเสียชีวิตแล้ว หากมีชีวิตอยู่จนถึงกำหนดระยะเวลาก็ยังได้เงินคืนพร้อมผลประโยชน์ แม้วงเงินคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจะไม่มากเท่ากับประกันชีวิตแบบจ่ายทิ้ง แต่คนก็นิยมซื้อแบบสะสมทรัพย์กันมาก เพราะได้เงินคืน
ช่องทางการขายประกันชีวิตตั้งแต่ในอดีตมาส่วนมากจะใช้เป็นระบบตัวแทน คือ ผู้ที่ต้องการซื้อประกันชีวิตต้องซื้อผ่านตัวแทนเท่านั้น ตัวแทนนี้จะทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้แนะนำกรมธรรม์ เป็นที่ปรึกษา และช่วยเหลือในกรณีเบิกเคลมให้กับเรา โดยที่ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินค่าคอมมิชชั่นที่หักจากค่าเบี้ยประกันของเราในปีแรก ๆ ระบบซื้อประกันชีวิตผ่านตัวแทนนี้ก็ยังเป็นที่นิยมกันมาจนถึงปัจจุบัน จนภายหลังก็มีช่องทางในการขายประกันชีวิตแบบอื่น ๆ เช่น ซื้อผ่านธนาคาร ซื้อผ่าน call center ของทางบริษัท เป็นต้น
วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องข้อดีข้อเสียของการซื้อประกันชีวิตจากช่องทางเหล่านี้กัน
ข้อดีของการซื้อประกันชีวิตผ่านตัวแทน
- มีผู้ดูแลผลประโยชน์ให้ ในกรณีที่ต้องเบิกเคลม ซึ่งการซื้อประกันชีวิตผ่านทางช่องทางอื่น ไม่ว่าจะเป็นซื้อเองผ่าน call center หรือซื้อผ่านธนาคาร หากมีกรณีที่ต้องเบิกเคลม เราต้องทำเอง ซึ่งหากไม่ชำนาญก็จะถือเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร การซื้อประกันผ่านตัวแทน ตัวแทนของเราจะสามารถให้คำแนะนำ รวมถึงเรื่องการจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ และช่วยเราทำเรื่องเบิกเคลมให้ด้วย
- ประหยัดเวลา ในทุกเรื่องและทุกขั้นตอน เนื่องจากตัวแทนจะเป็นผู้ดูแลเราในทุกด้าน ตั้งแต่ขั้นตอนการนำเสนอกรมธรรม์ ซื้อประกัน ทำสัญญา และการเบิกเคลม ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาในการดำเนินการเองทุกอย่าง มีตัวแทนช่วยดูแลทำให้เราประหยัดเวลา
- มีที่ปรึกษาด้านการเงิน เนื่องจากก่อนจะเป็นตัวแทนประกันชีวิตได้ ต้องมีการสอบใบอนุญาต ตัวแทนประกันชีวิตทุกคนจึงต้องมีความรู้ในผลิตภัณฑ์ประกันภัย การสอบนี้ยังรวมถึงเรื่องจริยธรรมต่าง ๆ ที่ตัวแทนประกันควรมีในอาชีพด้วย ดังนั้น เราก็สามารถมั่นใจในระดับหนึ่งว่า ตัวแทนจะมีความรู้ความสามารถพอที่จะเป็นปรึกษาให้กับเราได้ สามารถแนะนำกรมธรรม์ที่เหมาะกับสไตล์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นเน้นความคุ้มครอง เน้นสะสมทรัพย์ หรือเน้นเรื่องบำนาญ เป็นต้น
- ได้รับข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ การซื้อประกันผ่านตัวแทนจะทำให้เราได้รับข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยจากตัวแทนอยู่เสมอ เมื่อมีกรมธรรม์ใหม่ ๆ ตัวแทนก็จะโทรมาแจ้ง หรือเมื่อมีนโยบายจากภาครัฐใหม่ ๆ มีข่าวอะไรที่เกี่ยวกับประกัน ตัวแทนก็จะโทรมาพูดคุยหรือแจ้งให้กับลูกค้าได้ทราบ
- ซื้อสัญญาเพิ่มเติมในประกันหลักได้ การซื้อประกันชีวิตผ่านตัวแทน หากเราต้องการซื้อสัญญาเพิ่มเติม เช่น การประกันอุบัติเหตุหรือประกันสุขภาพ ก็สามารถติดต่อตัวแทนเพื่อซื้อเพิ่มเติมได้ โดยหลังจากได้พูดคุยกัน ตัวแทนก็จะแนะนำสัญญาเพิ่มเติมที่เหมาะสมกับเรา
ข้อเสียของการซื้อประกันชีวิตผ่านตัวแทน
- ตื๊อขายกรมธรรม์ใหม่ ส่วนมากตัวแทนที่ขายประกันชีวิตก็จะมีรายได้จากค่าคอมมิชชั่นจากค่าเบี้ยประกันปีแรกของลูกค้า ส่วนปีต่อ ๆ ไปก็ยังได้อยู่แต่เป็นส่วนน้อย ตัวแทนบางคนเลยจำเป็นต้องคอยโทรมาขายกรมธรรม์ใหม่ให้กับลูกค้าอยู่เสมอ บางทีซื้อแล้วซื้ออีกจนมีกรมธรรม์เยอะเต็มไปหมด ซื้อกันจนครบทั้งครอบครัวก็ยังโทรมาขาย ลูกค้าบางคนต้องเบรกว่าจะเอาเงินที่ไหนมาทำกรมธรรม์เพิ่ม ปีหนึ่งจ่ายอยู่เป็นแสนแล้ว ถึงจะยอมเลิกโทร
- จ่ายค่าเบี้ยปีแรกแล้วหาย มีเหมือนกันตัวแทนที่พอได้รับค่าเบี้ยประกันปีแรกจากเราแล้ว หายไปเลย ติดต่อไม่ได้ ทำให้พอเราซื้อประกันชีวิตผ่านตัวแทนเพื่อหวังให้ตัวแทนดูแล เรากลับต้องดูแลตัวเอง ดังนั้น ก่อนเลือกตัวแทนประกันชีวิตก็ต้องตัดสินใจให้ดี ควรเลือกตัวแทนที่อยู่ในธุรกิจประกันชีวิตมานาน หากเป็นคนรู้จักกัน มีคนแนะนำได้ก็จะยิ่งดี
- นำเสนอประกันไม่เหมาะสม ข้อนี้ก็เนื่องจากค่าคอมมิชชั่นที่ต้องการได้เช่นกัน ตัวแทนที่ดีควรสอบถามเพื่อทราบความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าว่าต้องการทำประกันชีวิตแบบไหน และมีหน้าที่อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในกรมธรรม์ให้ลูกค้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อที่จะไม่มีปัญหาเข้าใจผิดกันภายหลัง ตัวแทนบางคนอยากได้แต่ค่าคอมมิชชั่น ก็พยายามจะขายประกันชีวิตที่ต้องจ่ายค่าเบี้ยสูง ๆ ในปีแรก ซึ่งบางครั้งก็ไม่ตรงความต้องการของเรา
ในความเห็นของผู้เขียนยังเชื่อว่าการซื้อประกันชีวิตผ่านตัวแทนเพื่อทำสัญญากรมธรรม์กับบริษัทโดยตรงน่าจะยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากการซื้อประกันชีวิตผ่านธนาคารหรือทางโทรศัพท์ อาจมีขั้นตอนที่สะดวก รวดเร็วและง่าย แต่ข้อเสียก็คือเราจะไม่ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม เนื่องจากความรู้ความสามารถของพนักงานธนาคารหรือพนักงาน call center ไม่เท่ากับตัวแทนประกันชีวิตแน่นอน ภายหลังเมื่อต้องทำเรื่องเบิกเคลม ก็ไม่มีคนดูแล เราต้องทำเรื่องเอง พนักงานธนาคารและพนักงาน call center ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เน้นขายให้ได้อย่างเดียว ความหลากหลายในรูปแบบของประกันชีวิตที่นำเสนอก็มีไม่มากเท่ากับซื้อประกันกับตัวแทน อย่างธนาคารก็จะเน้นขายประกันชีวิตที่พ่วงออมทรัพย์เป็นหลัก
การซื้อประกันชีวิตผ่านทางตัวแทน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาควรเลือกตัวแทนที่ไว้วางใจได้ มีคนแนะนำหรือเรารู้จัก ทุกครั้งที่จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตควรเลือกจ่ายผ่านทางธนาคาร ไม่ควรให้เงินสดกับตัวแทนไป และควรใส่ใจในการรอรับเอกสารใบเสร็จจากทางบริษัทประกันทุกครั้ง ในกรณีเบิกเคลมที่ผ่านเอกสารไปทางตัวแทนทำเรื่องให้ เราควรถ่ายเอกสารทั้งหมดไว้ด้วยอีก 1 ชุด เผื่อกรณีมีปัญหา เช่น เอกสารหาย หรือตัวแทนหาย เรายังสามารถรักษาสิทธิในการเบิกเคลมกับทางบริษัทได้โดยตรง