การลงทุนทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นลงทุนในหุ้น ลงทุนในบ้านและที่ดิน ลงทุนทำธุรกิจ ล้วนต้องมีการศึกษาหาความรู้มาเป็นอย่างดี และต้องผ่านการฝึกทักษะในสายงานนั้นๆมาอย่างโชกโชน จึงจะช่วยให้การลงทุนนั้นประสบความเร็จอย่างยั่งยืนได้ แต่ก็มีบางครั้งที่หากลงทุนในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นไม่ว่าจะจับงานอะไรก็ดูดีและสำเร็จไปหมด โดยที่ตัวผู้ลงทุนเองไม่มีพื้นฐานความรู้ในเรื่องนั้นๆก็ไม่เป็นไร ดังที่มีคำกล่าวในตลาดหุ้น ยามที่ตลาดเป็นขาขึ้นนานๆว่า ช่วงหุ้นขาขึ้นให้ลิงมาซื้อ ก็ได้กำไร แต่เมื่อผ่านขาขึ้นไปแล้ว จะรับมือกับช่วงที่ถดถอยได้หรือไม่อย่างไร ลองฟังเรื่องของแป๊ะเคี้ยงดู
แป๊ะเคี้ยงเกิดที่เมืองจีน พออายุได้ 10 ขวบ ก็อพยพมาอยู่เมืองไทยพร้อมพ่อกับน้องชายอีก 2 คน ชีวิตในเมืองไทยช่วงแรกนั้นยากลำบากมาก ทั้งเรื่องภาษาและการสื่อสาร ต้องทำงานช่วยพ่อทุกอย่าง พายเรือไปขายผัก ทำสวน เลี้ยงหมู ขายไอติม เรียกว่าทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน พอวัยรุ่นแป๊ะเคี้ยงได้ไปฝึกเป็นช่างตัดเสื้อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ยืดอาชีพนี้เพราะไม่มีทุนในการเปิดร้านของตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง น้องชายทั้งสองคนได้ไปร่ำเรียนวิชาช่างกลึงจนสำเร็จ ได้เถ้าแก่ใจดีช่วยให้เปิดโรงกลึงเป็นของตัวเอง ครอบครัวของแป๊ะเคี้ยงอยู่ดีกินดีขึ้น และแป๊ะเคี้ยงก็แต่งงานมีลูกกับภรรยาคนไทย เป็นลูกชาย 3 คน ลูกสาว 2 คน และน้องๆทั้งสองต่างก็มีครอบครัว ทำให้โรงกลึงนั้นดูคับแคบไปแล้ว แป๊ะเคียงจึงตัดสินใจแยกออกมาเปิดอู่ซ่อมรถของตัวเอง โดยมีลูกชายคนโตเป็นช่างประจำร้าน
ต่อมาเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก กิจการอู่ซ่อมรถของแป๊ะเคี้ยงไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายได้ จึงปิดกิจการและขายบ้านได้เงินก้อนใหญ่มาก้อนหนึ่ง หวังมาสู้ชีวิตในเมืองกรุง ด้วยภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นไม่อำนวย จะทำมาหากินอะไรก็ยากลำบาก แป๊ะเคี้ยงจึงตัดสินใจทำอาชีพรับซื้อของเก่า ที่ถือว่ามีความเสี่ยงน้อย ก็พอประทังชีวิตได้ ในช่วงที่รับซื้อขายของเก่า เศษเหล็ก ลังกระดาษ ขวดแก้วอยู่นั้น ได้มีญาติสนิทคนหนึ่งที่ถือว่ามีฐานะ ชักชวนให้มาเปิดร้านขายของกิน เพราะละแวกนั้นมีโรงงานเยอะ ในที่สุดแป๊ะเคี้ยงกับภรรยาก็ได้เปลี่ยนมาชีพอีกครั้ง โดยหันมาขายก๋วยจั๊บให้กับสาวโรงงานที่ชานเมือง ขายก๋วยจั๊บอยู่หลายปี ก็มีเพื่อนฝูงชวนให้แป๊ะเคี้ยงปล่อยเงินกู้ ด้วยเห็นว่าแป๊ะเคี้ยงมีเงินก้อน ฝากไว้ในธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยนิด เอามาปล่อยเงินกู้ดีกว่า ด้วยความที่ไว้ใจเพื่อนฝูงแป๊ะเคี้ยงจึงยอมเอาเงินเก็บก้อนสุดท้ายนั้นมาปล่อยกู้ ด้วยความที่แป๊ะเคียงเป็นคนจีน ไม่มีความรู้เรื่องการเงินการลงและการปล่อยกู้ ประกอบกับเป็นคนที่มีนิสัยใจดี จึงถูกเพื่อนโกง ยังเคราะห์ดีที่เงินที่ถูกโกงไปนั้นไม่ใช่เงินทั้งหมดที่มี แป๊ะเคี้ยงเข็ดกับการปล่อยกู้ไปชั่วชีวิต จากนั้นก็ขายก๋วยจั๊บไปเรื่อยๆ ลูกคนโตกับคนที่สองก็แยกออกไปทำรับเหมาก่อสร้างเล็กๆน้อยๆ
จนมีช่วงหนึ่งที่เศรษฐกิจประเทศไทยดีมากๆ หุ้นขึ้นเป็นพันจุด ตึกรามบ้านช่อง ขายดิบขายดี ที่ดิน ที่จัดสรรก็ขายดีไปด้วย ทุกอย่างสามารถทำกำไรได้ 200 – 1000 % และแล้วจังหวะรุ่งเรื่องในชีวิตของแป๊ะเคี้ยงก็มาถึง เมื่อญาติสนิทผู้ร่ำรวยมหาศาลยินยอมให้เขาหุ้นทำธุรกิจบ้านจัดสรร ดังที่กล่าวไปแล้วว่ายุคนั้นทำอะไรก็ดีไปหมด เงิน 1000000 บาทของแป๊ะเคี้ยงงอกเงยเป็น 5000000 ในช่วงเวลาไม่ถึงสองปี จนในที่สุด แป๊ะเคี้ยงก็สามารถซื้อตึกแถวได้ 2 ห้อง อยู่ในทำเลที่เหมาะกับการทำการค้า ด้วยแป๊ะเคี้ยงไม่มีความรู้ความชำนาญอะไรเป็นพิเศษนอกจากขายก๋วยจั๊บ เขาจึงขายก๋วยจั๊บในตึกแถวที่ซื้อมาใหม่ กิจการดำเนินไปด้วยดี พออยู่พอกิน
หลังจากย้ายมาอยู่ตึกใหม่ได้ไม่นาน ญาติก็ชวนให้ซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไรอีก แป๊ะเคี้ยงไม่รอช้า ระดมทุนที่มีอยู่ แต่ไม่พอ เขาจึงนำตึกแถวนี้ไปจำนองเป็นเงินหลายล้านบาท และยังชักชวนญาติๆให้มาหุ้นด้วย แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ที่ดินผืนใหญ่นั้นยังไม่ทันได้ถูกขายออกไป ฟองสบู่เศรษฐกิจไทยได้แตกลง ตลาดหุ้นตกรุนแรงจาก 1700 จุด เหลือ 200 ในช่วงเวลา 2 ปี ราคาที่ดินและตึกแถวก็ลดต่ำลง บ้านจัดสรรขายไม่ออก แป๊ะเคี้ยงต้องเป็นหนี้ธนาคาร 400000 ล้าน เสียค่าดอกเบี้ยประมาณเดือนละ 20000 บาท ลำพังขายก๋วยจั๊บที่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัว คงไม่สามารถจะหาเงินมาไถ่ถอนตึกแถวได้