คำว่ารวยนั้น ใครๆก็อยากได้อยากเป็น แต่ความหมายของ รวย จริงๆนั้นคืออะไร คงนิยามค่อนข้างยาก ตามพจนานุกรมให้ความหมายว่า มีมาก แต่ก็ไม่รู้ว่า มากแค่ไหน บางคนบอกว่า มีเงิน 1 แสนบาทก็รวยแล้ว บางคนบอกต้องมี 1 ล้านถึงจะรวย อีกคนบอกว่าต้อง 100 ล้านถึงจะรวยอย่างแท้จริง ต่างคนก็ต่างความหมายต่างความพอใจ โลกทุนนิยมเป็นโลกที่มือใครยาวสาวได้สาวเอา คนที่มีเงินมากก็สามารถกอบโกยเงินทองได้มาก มีมากก็ได้เปรียบมาก ผู้คนจึงพยายามจะหาเงินและวัดความร่ำรวยจากจำนวนเงินที่มี
หลายคนใช้เวลาทั้งชีวิตในการหาเงิน โดยตัวเองได้ตกเป็นทาสของเงินไปเสียแล้ว บางคนไม่ให้ความสำคัญกับชีวิตด้านอื่นๆ เช่น ครอบครัว สังคม สิ่งแวดล้อม เพราะเชื่อว่า ถ้ามีเงินซะอย่าง เดี๋ยวก็จะมีความสุขเอง เมื่อเขาหาเงินได้มากแล้ว ถึงจะมารู้ตัวว่า เงินไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต กว่าจะรู้ก็เกือบจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต การวัดความร่ำรวยนั้นควรจะวัดกับตัวเอง ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร ความสุขก็เหมือนกัน อย่าไปเทียบกับคนอื่นหรือใช้เงินในการวัดความสุข เพราะความสุขเป็นความรู้สึกภายใน จะใช้เงินที่เป็นปัจจัยภายนอกว่าชี้วัดไม่ได้
อ่านเพิ่มเติม : หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับหนุ่มสาววัยทำงานยุคโซเชียล
ตัวชี้วัดความรวยที่สำคัญอันหนึ่งคือความพอ พอเพียง พออิ่ม พอดี พอใช้ พอที่จะเติมเต็มความสุขให้กับการดำรงชีวิตได้ตามต้องการ แบบไม่มากเกินไป เราต้องค้นพบความพอดีในใจเราเอง ถ้าเราพบเจอเร็ว ก็เรียกว่ารวยแล้ว ชีวิตเราสั้นเกินไปที่จะเดินไปตามความคิดเห็นของคนอื่น การที่เรารู้สึกพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็นนั้น เป็นสิ่งที่คนมีเงินมากมายก็ยังไม่สามารถเข้าใจและยอมรับได้ เลยหลงใหลเป็นทาสเงินกันต่อไป
เมื่อเราค้นพบความพอดี พอใจในตัวเองแล้ว สิ่งที่จะทำให้เราเกิดความรู้สึกร่ำรวยยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ การให้ สิ่งที่แยกคนรวยแล้ว กับคนที่ยังจนอยู่คือ ความยินดีและเต็มใจในการให้และแบ่งปันโดยไม่หวังผลตอบแทน คนรวยคือคนที่พร้อมจะให้ คนจนแม้มีเงินมากมายแต่ไม่รู้จักการให้ นั้นถือว่ายังไม่ได้ร่ำรวยอย่างแท้จริง เพราะการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนมักนำความสุขใจมาให้กับเรา การให้ไม่จำเป็นต้องให้ในสิ่งที่มีค่าราคาแพง เพียงแต่ให้ด้วยความจริงใจ เต็มใจ ถือว่าการให้นั้นบังเกิดผลเป็นความสุขความพอใจกับตัวแล้ว ไม่เพียงแต่ให้วัตถุเงินทอง การให้คำปรึกษา การให้ความรู้ การให้มิตรภาพ ก็ถือเป็นการให้ได้ทั้งนั้น ความอัศจรรย์ของการให้คือ ยิ่งให้ ยิ่งได้รับกลับคืน ผู้ให้มักได้รับสิ่งดีกลับมามากกว่าสิ่งที่ได้ให้ออกไป บางครั้งไม่จำเป็นต้องได้กลับมาในรูปวัตถุเงินทอง ยิ่งเราให้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนมาก ความมั่งคั่งต่างๆก็จะหลั่งไหลกลับมาหาตัวเรามากเช่นกัน แต่ต้องไม่ลืมว่า การให้นั้นต้องเกิดจากความบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังผลตอบแทน
ข้อแนะนำในการให้อย่างหนึ่งคือ ควรจะยื่นมือ อย่ายื่นเงิน การให้นั้นถ้าเราให้ผิดวิธี บางทีกลับเป็นโทษหรือทำร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว เช่น เห็นคนเร่ร่อนเที่ยวขอทานไปทั่ว ทั้งๆที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ทุกประการ พอเขามาขอเงิน เรานึกสงสารจึงให้เงินเขาไป ถือซะว่าได้ทำบุญ แต่ผลที่ตามมาก็คือ คนผู้นี้จะไม่ยอมทำอะไร วันๆเอาแต่ขอเงินคนอื่น เพราะง่ายดี กลายเป็นว่าการให้ของเรานั้นเป็นการส่งเสริมให้คนอื่นได้เงินฟรีๆโดยไม่ต้องทำงาน ทั้งๆที่ตัวเขานั้นมีศักยภาพที่จะทำงานหาเงินเลี้ยงดูตัวเองได้ ถ้าเป็นไปได้ เราควรให้ในเรื่องของโอกาสจะดีกว่า เช่น ให้งาน ให้ความรู้ในการประกอบอาชีพ ให้คำแนะนำในการดำรงชีวิต หรือจัดตั้งเป็นหน่วยงานช่วยเหลือต่างๆ ดังคำสอนที่บอกว่า อย่าให้ปลา แต่จงสอนวิธีตกปลาให้กับเขา เพราะยามที่เราไม่อยู่ เขาจะรู้วิธีจับปลาหากินเองได้
กล่าวโดยสรุป ถ้าเราเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นในเรื่องจำนวนเงินว่าใครจะมีมากกว่ากัน วิธีการเช่นนั้น จะไม่ทำให้เรารวยได้ เพราะสุดท้ายก็จะมีคนที่มีมากกว่าเราอยู่ดี ความรวยที่แท้จริงอยู่ที่ความพอ พอดีในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ พอใจในสิ่งที่ตนเองได้รับ และที่สำคัญเราจะรวยมากขึ้นถ้ารู้จักการให้และแบ่งปัน ไม่สำคัญว่าจะให้มากหรือให้น้อย ให้ตามกำลังของเรา ให้มิตรภาพ ให้ความจริงใจ ก็ถือเป็นการให้ที่ดีไม่แพ้กับการให้เงินให้วัตถุ และหากเลือกได้ ก็เลือกที่จะยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ดีกว่าที่จะยื่นเงิน เพราะถ้าเขาจัดการเงินไม่เป็น เงินนั้นก็จะหมดไป ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร จำไว้ ถ้าคิดจะให้ ให้ยื่นมือ อย่ายื่นเงิน