การขอสินเชื่อสำหรับผู้ที่ทำงานอิสระหรือฟรีแลนซ์ ปกติการปล่อยกู้จะไม่อนุมัติให้ง่ายนัก เนื่องจากไม่ได้มีรายได้แน่นอนเหมือนกับคนที่ทำงานประจำ แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียเลยทีเดียว จำเป็นที่เราจะต้องมาสร้างความน่าเชื่อถือให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินได้เห็นกัน โดยจะขอนำเคล็ดลับสร้างความน่าเชื่อถือตามหลัก 5Cs ที่ธนาคารใช้วิเคราะห์ในการปล่อยสินเชื่อธุรกิจมาฝาก ดังนี้
1 อุปนิสัยของลูกค้า (Character)
ปัจจัยข้อแรกที่สำคัญก็คือตัวผู้กู้เอง เพราะทางธนาคารจะมองก่อนว่าผู้ขอกู้นั้นมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้สำเร็จตามแผนที่เสนอกับทางธนาคารได้หรือไม่ อีกทั้งศักยภาพในการจ่ายชำระคืนเงินกู้ด้วย โดย ธนาคารจะเช็กประวัติผู้ขอกู้ทุกราย ตั้งแต่สถานภาพ ฐานะ และประวัติการทำงาน หากบางธุรกิจที่มีผู้ขอกู้กับทางธนาคารอยู่ ก็จะมีการเปรียบเทียบศักยภาพกับผู้ขอกู้อื่น ๆ ในธุรกิจประเภทเดียวกัน และไม่เพียงประวัติส่วนตัวโดยทั่วไปเท่านั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการตรวจสอบประวัติทางการเงินโดยรวมผ่านเครดิตบูโร อีกทั้งประวัติการทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารอื่นๆ ซึ่งเมื่อเช็กแล้วจะต้องเป็นผู้มีประวัติดี ไม่มีประวัติการทุจริต การเบี้ยวหรือการโกงเงินจากธุรกรรมที่ผ่านมา หากผ่านธนาคารก็พอจะอุ่นใจได้
2. ความสามารถในการชำระหนี้ (Capacity)
เมื่อธนาคารดูว่าผู้ขอกู้มีประวัติดีแล้ว ต่อมาก็จะดูความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ขอกู้โดยประเมินจากปัจจัยการลงทุนในธุรกิจที่ผู้ขอกู้เสนอเข้ามา ได้แก่
– แผนหรือโครงการที่จะขอกู้
– จำนวนเงินที่กู้
– ระยะเวลาในการขอกู้
3 สิ่งนี้ธนาคารจะประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จแค่ไหน ผู้กู้จะหารายได้ได้มากเพียงใด และรายได้ที่คาดว่าจะได้รับจะเพียงพอต่อการชำระหนี้ที่ขอกู้หรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ธนาคารมักใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อมากที่สุด สำหรับการขอสินเชื่อเพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม มี เทคนิคสำคัญในเรื่องนี้คือ ผู้กู้ต้องแสดงการบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอ และควรแสดงให้เห็นถึงรายรับที่เข้ามาอย่างมากมายและต่อเนื่อง หากปัจจัยนี้ไม่มีปัญหาอะไร ธนาคารก็เชื่อใจเกินครึ่งแล้ว
3. เงินทุน (Capital)
ในเรื่องเงินทุนจะดูจาก 2 ส่วนง่าย ๆ ก็คือ “เงินที่เราขอกู้” กับ “เงินที่เราจะลงทุนเอง” หากเราทำเรื่องกู้เงินเยอะธนาคารก็มองว่าเป็นโครงการที่มีความเสี่ยงมาก และในทางกลับกัน หากเราลงทุนร่วมไปด้วยส่วนหนึ่งและขอกู้ส่วนหนึ่ง ความเสี่ยงที่ธนาคารประเมินก็จะลดลงตามไปด้วยแน่นอน ซึ่งธนาคารจะดูภาพรวมว่าเงินที่ขอกู้ไปกับเงินที่ลงทุนเอง รวม ๆ แล้วจะทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้ด้วยดีหรือไม่ แต่ถ้าธนาคารประมาณการแล้วพบว่า เมื่อให้เงินกู้รวมกับเงินลงทุนไปแล้วยังไม่เหมาะสมกับขนาดของโครงการ หรือน้อยเกินไปเพื่อทำให้โครงการสำเร็จลุล่วงได้ ก็อาจเป็นประเด็นที่ธนาคารพิจารณาไม่อนุมัติให้ได้เหมือนกัน
4. หลักประกัน (Collaterals)
ในการขอสินเชื่อธุรกิจกับธนาคารจำต้องมีหลักประกันแทบทั้งสิ้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงของธนาคารเองหากเกิดกรณีที่ไม่คาดคิด ถึงแม้ว่าจะประเมินปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้นผ่านหมดแล้วก็ตาม ซึ่งหลักประกันจะมีมูลค่าสูงแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินกู้นั่นเอง หากขอกู้วงเงินสูงก็ต้องมีหลักประกันสูงตามไปด้วย ทั้งนี้หลักประกันที่มีมูลค่าและเป็นที่ยอมรับจากทุก ๆ ธนาคารก็คือสินทรัพย์อย่างที่ดิน นั่นเอง
5. สถานการณ์ (Condition)
การประเมินปัจจัยภายนอกสิ่งสุดท้ายที่ธนาคารจะพิจารณานอกเหนือจากโครงการและข้อมูลของผู้ขอกู้ก็คือภาวะเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ นโยบายของรัฐบาล ความผันผวนของตลาดธุรกิจของผู้ขอกู้ และความผันผวนของราคาวัตถุดิบ เพื่อที่จะนำสิ่งเหล่านี้มาประเมินความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อธุรกิจของผู้ขอกู้ได้
จากหลัก 5Cs ที่ธนาคารใช้วิเคราะห์ในการปล่อยสินเชื่อธุรกิจ คงทำให้ฟรีแลนซ์ทั้งหลายพอรู้ว่าธนาคารมองปัจจัยใดบ้างในการพิจารณาอนุมัติเงินกู้ เพื่อให้ประสบความสำเร็จเราก็ควรจัดการเสนอโครงการและข้อมูลประกอบให้สมบูรณ์ครบถ้วนตามที่เขาต้องการ
อ่านเพิ่มเติม : การขอกู้สินเชื่อ สำหรับฟรีแลนซ์ ต้องทำอย่างไร
เมื่อได้รับอนุมัติเงินกู้แล้วควรจะทำอย่างไรดีที่สุด
เมื่อได้รับอนุมัติเงินกู้แล้ว สิ่งที่ต้องทำอย่างมีวินัยก็คือ การส่งเงินคืนธนาคารให้ตรงในแต่ละเดือน ซึ่งมีเทคนิคการส่งเงินง่ายๆคือเงินที่เราส่งไป จะตัดดอกเบี้ยและเงินต้นตามยอดจริง โดยธนาคารจะตัดดอกเบี้ยก่อน แล้วค่อยตัดเงินต้น ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดเราต้องส่งให้เพียงพอกับยอดดอกเบี้ย มิฉะนั้นจะเกิดภาวะดอกเบี้ยทบต้น คราวนี้ล่ะปัญหาใหญ่ต้องผ่อนกันหัวโตทีเดียว ในทางกลับกัน ยิ่งเราส่งเงินในส่วนของเงินต้นได้มากเท่าไร จำนวนดอกเบี้ยและระยะเวลาการชำระก็จะลดลงได้มากเท่านั้น เราก็จะจะหมดภาระเร็วขึ้น
เมื่อทราบแบบนี้แล้ว หวังว่าผู้ที่ทำอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์จะรู้แนวทางชนะใจธนาคารในการขออนุมัติสินเชื่อได้ และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญในการจะช่วยทำให้เครดิตของเราดีขึ้น ก็คือวินัยในการชำระหนี้หรือจ่ายเงินคืนนั่นเอง หากเราสามารถชำระหนี้ได้ตรงเวลา เครดิตของเราก็จะยิ่งดีขึ้นและส่งผลถึงการขอเพิ่มเงินทุนในอนาคตได้เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก