จากที่เป็นข่าวใหญ่เมื่อช่วงก่อนวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ว่ามีการบุกทลายแก๊งเงินกู้รายใหญ่ที่มีเงินหมุนเวียนกว่า 4 พันล้านบาท และที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือข่าวบอกไว้ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐกว่าพันคนมีเอี่ยวร่วมด้วย อ่านแล้วก็มีสองความรู้สึกด้วยกัน หนึ่งคือตกใจว่าแก๊งใหญ่ขนาดนี้จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว มีคนกี่คนที่ต้องตกเป็นเหยื่อต้องลำบากเรียกได้ว่าแทบจะหาทางออกมาจากหลุมดำนี้ได้ยากมาก ความรู้สึกที่สองก็คือมีความหวังขึ้นมาบ้างที่แก๊งขนาดใหญ่ที่มีข้อสงสัยว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องด้วยนี้ได้ถูกจับและทลายลง แสดงว่าคนที่เดือดร้อนก็จะได้รับความช่วยเหลือและเยียวยา อีกทั้งในอนาคตก็จะไม่ต้องมีอีกหลายคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อแก๊งนี้อีก
เราไปลองดูรายละเอียดของข่าวนี้กันค่ะ
การแถลงข่าวการบุกค้นและจับกุมแก๊งนี้ได้ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ การแถลงข่าวได้บอกถึงรายละเอียดว่ามีชื่อผู้กระทำความผิดกว่า 2,000 คน ส่วนประชาชนที่เป็นลูกหนี้ที่เป็นผู้เสียหายนั้นมีมากถึง 170,000 รายทั่วประเทศ รวมทรัพย์สินที่ยึดและอายัดมามีมูลค่า 150 ล้านบาท แก๊งปล่อยกู้รายใหญ่นี้มีชื่อเรียกกันว่า “แก๊งหมวกกันน็อก” มีเงินหมุนเวียนมากถึง 4 พันล้านบาท และมีเครือข่ายมากถึง 86 สาขาย่อยทั่วประเทศ
การบุกเข้าทลายแก็งหมวกกันน็อกนี้เป็นการปฏิบัติการแบบจู่โจมพร้อม ๆ กันถึง 26 จุด ในหลายพื้นที่ของหลายจังหวัด ทั้งปทุมธานี เชียงใหม่ ขอนแก่นและสงขลา ทรัพย์สินที่ยึดมาได้นั้นประกอบไปด้วย รถยนต์ 26 คัน รถมอเตอร์ไซด์ 86 คัน ตู้เซฟ 14 ตู้ ธนบัตรเงินไทยและเงินต่างประเทศ อุปกรณ์สื่อสาร บัญชีเงินฝาก อาวุธปืนและลูกกระสุน โฉนดที่ดินสิ่งปลูกสร้าง และของมีค่าหลายรายการ ทั้งทองคำรูปพรรณ แหวนเพชร สร้อยคอ พระเครื่อง รวมทรัพย์สินทั้งหมดที่ยึดไว้มีมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท
สำหรับแก๊งหมวกกันน็อกนี้ ได้มีการแจ้งเบาะแสมาที่กระทรวงยุติธรรมทั้งเปิดเผยและทางลับมาแล้วหลายครั้ง เจ้าหน้าที่ของดีเอสไอหลังจากที่ได้ติดตามสืบสวนเป็นเวลากว่า 2 ปี ก็สามารถเข้าจับกุมทลายแก็งได้ในที่สุด ความโหดของแก็งนี้ก็คือการคิดดอกเบี้ยลูกหนี้สูงถึงร้อยละ 20 ต่อ 25 วัน เท่ากับดอกเบี้ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 300 ฟังไม่ผิดค่ะ เท่ากับใครที่ตกเป็นเหยื่อแล้วล่ะก็หาทางหลุดรอดออกมาได้ยาก เพราะจ่ายคืนหนี้เท่าไหร่ก็คงจะไม่หมดแน่นอนกับดอกเบี้ยที่คิดมหาโหดขนาดนี้ เครือข่ายนี้มีการเปิดบริษัทมากมายขึ้นมาเพื่อบังหน้าเป็นบริษัทที่ทำกิจการอื่นที่ไม่ใช่การให้กู้เงิน บางบริษัทก็มีการปิดกิจการไปแล้ว บางบริษัทก็มีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายด้วย เพียงแต่ไม่ได้ประกอบกิจการตามที่ระบุไว้เท่านั้น นอกจากนั้นยังมีการเปิดเผยว่า มีกลุ่มผู้มีอิทธิพล รวมถึงกลุ่มนักกฎหมายและไอทีให้การสนับสนุนด้วย
หนึ่งในผู้ต้องหาสำคัญที่อยู่ในแก็งหมวกกันน็อกนี้และเป็นตัวการระดับบน ก็คือ นายวิชัย ปั้นงาม ที่ในขณะที่มีการบุกจับกุมนั้นได้เดินทางไปพักผ่อนที่ญี่ปุ่นกับครอบครัวและได้เดินทางกลับมาแล้ว ได้ให้ทนายติดต่อมาเพื่อจะทำการมอบตัวในภายหลังก็ต้องติดตามต่อไปว่าหลังจากมอบตัว นายวิชัย ปั้นงามจะให้การว่าอย่างไร ส่วนผู้ต้องหาที่มีการออกหมายจับอีกหนึ่งราย คือ นายไชยวุฒิ วิวัฒนอารีกุลนั้น เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวไว้ได้เป็นผู้มีหน้าที่ดูแลเรื่องของระบบไอทีในการจัดเก็บเงินกู้ของแก๊งนี้
ต่อจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะดำเนินการกับเครือข่ายที่ทำหน้าที่เก็บเงินจากลูกหนี้อีกหลายพันคนต่อไป ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐที่มีข่าวว่าพัวพันกับคดีนี้ด้วยนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนกลางที่ช่วยไกล่เกลี่ยหรือบางคนก็ใช้อำนาจเพื่อให้ลูกหนี้จ่ายเงิน ขั้นต่อไปก็คงเป็นเรื่องของการตรวจสอบเส้นทางการเงินของเครือข่าย และการหาทางแก้ปัญหาเยียวยาให้กับลูกหนี้ที่ตกเป็นเหยื่อ
ถือเป็นข่าวดีข่าวใหญ่ในรอบปีทีเดียวที่เจ้าหน้าที่ถูกภาคส่วนร่วมมือกันในการจับกุมและทลายแก็งปล่อยกู้รายใหญ่สุดโหดนี้ได้ ชาวบ้านตาดำ ๆ อีกหลายคนจะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป เมื่อมองย้อนกลับไปที่ลูกหนี้กว่า 170,000 รายก็ต้องบอกว่าเหมือนกับตกนรก ทำงานหาเงินมาได้เท่าไหร่ อย่าคิดแต่ว่าจะเก็บไว้ใช้เลย แค่เอาไปจ่ายหนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหมด น่าจะต้องใช้หนี้กันไปตลอดชีวิต
ที่เป็นข่าวใหญ่ก็เพราะแก็งหมวกกันน็อกนี้เป็นแก็งใหญ่ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั่นเอง นี่ก็คือรูปแบบของหนี้นอกระบบที่ไม่มีกฎหมายใด ๆ รองรับเป็นการทำความตกลงกันเองระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ ลูกหนี้ส่วนใหญ่ที่ต้องหันไปหาหนี้นอกระบบก็เป็นเพราะหลายเหตุผล ทั้งไม่มีความรู้ที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกกฎหมาย มีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่จะขอเงินกู้จากแหล่งที่ถูกกฎหมายได้ ฯลฯ
การแก้ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใครเพียงฝ่ายเดียวจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมดทุกฝ่ายต้องช่วยกัน แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามแก้ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบโดยที่ประชาชนไม่พร้อมที่จะช่วยแก้ไขด้วย แก๊งเงินกู้โหดแบบนี้ไม่ได้เพิ่งมีเป็นครั้งแรก แต่มีมาตลอดทั้งเป็นข่าวไม่เป็นข่าว ตราบใดที่ยังมีผู้ต้องการเงินกู้ก็มีผู้พร้อมจะให้กู้อยู่แล้ว ดังนั้น เราในฐานะประชาชนที่จะมีส่วนร่วมในการช่วยกันแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้หมดไปจากสังคมไทยได้แบบง่าย ๆ ก็คือ การไม่กู้หนี้นอกระบบนั่นเอง โดยยึดหลักความพอเพียงทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีสุจริต มีความขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์ ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย หลีกให้ห่างจากเหล้าบุหรี่ ยาเสพติดและการพนันที่เป็นอบายมุข มีแต่เสียเงินและยังเสียสุขภาพ ก่อนกู้หนี้นอกระบบให้คิดเสียว่าไม่มีใครจะได้ดีหรือพลิกชีวิตกลับมาได้ด้วยหนี้นอกระบบอย่างแน่นอน มีแต่เราจะยิ่งเหมือนเดินเข้าไปใกล้ขอบเหวมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเพลี่ยงพล้ำไปเมื่อไหร่โอกาสที่จะกลับตัวได้ก็ยากมาก ส่งผลโดยตรงต่อตัวเอง ครอบครัว ยาวไปยังลูกหลานที่อยู่ในบ้านจะต้องลำบากและพบกับความสุขสบายได้ยากไปจนตลอดชีวิตก็ว่าได้
อ้างอิง