เซียนลงทุนท่านหนึ่งในตลาดหุ้นวอลสตรีทได้กล่าวไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อนว่า “จุดที่ยากที่สุดของการเทรดหุ้นคือการควบคุมสภาวะจิตใจ”
โดยเรื่องของการจัดการอารมณ์ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน เพราะการลงทุนในหุ้นมันส่งผลต่ออารมณ์เป็นอย่างมากโดยเฉพาะเวลาที่เราประสบผลขาดทุน เพราะเรื่องของเงินเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตของมนุษย์ซึ่งแน่นอนคนเราก้าวเข้ามาในตลาดหุ้นมากกว่าร้อยละ 95 ต้องการได้กำไรจากการลงทุนทั้งสิ้น ไม่ค่อยมีใครเข้ามาเล่นหุ้นเพื่อความสนุกสนาน ขำๆ(แต่ก็พบเจอบ้าง) บางท่านอาจเล่นหุ้นเพื่อต้องการเข้าสังคมมีกลุ่มเพื่อนเพราะอยู่บ้านว่างๆหลังเกษียณมันเหงาเลยมานั่งเล่นหุ้นที่ห้องค้าหลักทรัพย์ตามสำนักงานของบริษัทหลักทรัพย์ดีกว่า(แต่ก็เจอบ่อยๆส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนสูงอายุ) แต่นักลงทุนส่วนมากเดินเข้าสู่ถนนสายนี้ต้องการหลักๆก็คือ “กำไรและเงินปันผล”
เพราะฉะนั้นทุกบาททุกสตางค์ที่เราจะได้รับจากตลาดหุ้นนั้นคงไม่ง่ายนัก เราจึงควรต้องมีแนวคิดที่ดีเพื่อควบคุมสภาวะทางจิตใจและอารมณ์ที่นิ่งพอที่จะเผชิญเรื่องราวต่างๆในตลาดหุ้นดังนี้
-
อย่าให้ความโลภเข้าครอบงำจิตใจ
การลงทุนในหุ้นนั้นสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือการจัดการกับสภาพจิตใจ เนื่องจากเงินที่นำมาลงทุนนั้นส่วนใหญ่หามาจากน้ำพักน้ำแรงเก็บหอมรอมริบมาเพื่อน้ำมาลงทุนให้ดอกผลงอกเงิย ซึ่งถามว่ามันส่งผลต่ออารมณ์มากมายขนาดไหน บอกได้เลยว่าเยอะมากทีเดียว ซึ่งในสภาวะตลาดขาขึ้นทุกอย่างดูดี สวยหรู ซื้อหุ้นตัวไหนก็ขึ้นเข้าตัวนู๊นออกตัวนี้ ขายหมูไปหน่อยก็ไม่ว่ากันเพราะโดยรวมๆแล้วมันก็ขึ้นกันเกือบทุกตัว แต่ช่วงเวลาอันหอมหวานมักจะมีได้ไม่นาน สิ่งที่น่ากลัวต่อการจัดการความคิดและภาวะทางอารมณ์ก็คือการเทรดหุ้นในภาวะตลาดหมี หรือในช่วงตลาดขาลงนั้นการทำกำไรจะยากมากและส่วนใหญ่จะขาดทุน การควบคุมอารมณ์หรือการวิเคราะห์สภาพจิตใจของผู้ลงทุน (Mental analysis)นั้นเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการตัดขาดทุน(Cut loss) และการตั้งจุดขาดทุน(Stop loss)อย่างเป็นระบบ ถ้าถึงจุดต้องขาย ไม่ขายคือเจ็บตัว บอบช้ำ นี่คือสิ่งที่เราต้องทำ และต้องกล้าทำอย่ารอรี
-
ต้องรู้จักอดทนรอคอยให้เป็น
การรอคอยในการชีวิตการลงทุนในหุ้นนั้นอาจแบ่งได้หลายกรณี เช่น
- การถือหุ้นดี(กอดหุ้น) ถ้าได้ซื้อที่ราคาต่ำๆ รอเวลา ให้ราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยให้มันวิ่งขึ้นตามเทรนด์ไม่ต้องรีบร้อนขาย
- รอคอยเมื่อเวลาหุ้นเริ่มลง เราต้องรอจังหวะให้มันลงไปที่ราคาถูกๆก่อนค่อยเข้าซื้อ(อาจแบ่งซื้อตามแนวรับเป็นปิรามิด) อย่าพลีพลามรีบเข้าไปซื้อตอนที่กราฟราคากำลังดิ่งปักหัวลงเพราะจะเกิดความเสียหายอย่างรวดเร็วได้
- รอคอยถือเงินสดหรือย้ายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ ในสภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย นักลงทุนที่รอคอยเป็นเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จในการลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะในระยะกลางไปจนถึงระยะยาวจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าครับ
-
ยอมรับในสิ่งที่ผิดพลาดและพร้อมแก้ไข
ไม่มีผู้ใดที่ลงทุนในหุ้นแล้วไม่ขาดทุน เพราะมันคือ Zero-sum game มีคนได้กำไรก็ต้องมีคนขาดทุน แต่เราต้องนำเอาการขาดทุนที่เราประสบพบเจอ นำมาเป็นบทเรียนในการเทรดครั้งต่อๆไป คนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจก็ล้วนแล้วแต่เคยบริหารกิจการแล้วเจ๊งไม่เป็นท่ามากก่อน การเทรดหุ้นก็ไม่ต่างกัน เซียนตัวจริง/นักลงทุนขาใหญ่ ต่างเคยล้มลุกมาก่อนทั้งสิ้น สิ่งที่ผิดพลาดในการเทรดหุ้นหลักๆก็คือการขาดทุนซึ่งเราต้องเข้าใจธรรมชาติของการเล่นหุ้นก่อนว่านักลงทุนทุกคนที่ก้าวเข้ามาในตลาดหุ้นนั้นต้องขาดทุนทั้งสิ้น เพียงแต่เราต้องขาดทุนให้น้อย แต่กำไรให้มากกว่าเราจึงจะอยู่ได้ ไม่มีใครหรอกที่ไม่ขาดทุน(ยกเว้นโม้)
4. นำมาปรับใช้เป็นบทเรียนในอนาคต
History repeats itself เป็นหนึ่งในหลักของการวิเคราะห์หลักทรัพย์ทางด้านกราฟเทคนิคซึ่งที่มาก็คือการเดินทางของหุ้นมันมักจะมีการเคลื่อนไหวของราคาซ้ำๆกัน ในช่วงเวลาที่คล้ายๆกัน ซึ่งถ้าเราสามารถนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้กับการขาดทุนว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีก เราจะรับมืออย่างไร ซึ่งที่ดีที่สุดก็คือต้องมีการจดบันทึกว่าเราขาดหุ้นหุ้นตัวไหน เมื่อไหร่ เกิดขึ้นได้อย่างไร และความคิดในตอนนั้นเราคิดอย่างไรตอนซื้อหรือขาย บันทึกไว้ช่วยเตือนสติในอนาคตครับ
5.กำไรคือภาพมายา ถ้าได้มามากมายก็แบ่งไปทำบุญบ้างไรบ้างนะ
อย่ามัวแต่หลงมัวเมากับกำไรโดยเฉพาะในตลาดขาขึ้นเพราะผลกำไรนั้นจะได้มาได้โดยไม่ยากลำบากนักเพราะซื้อหุ้นตัวไหนก็ขึ้นหมด โดยเฉพาะหุ้นหลักๆใน SET50 ซึ่งขึ้นอยู่แล้วแน่นอน แต่เราต้องตั้งสติจัดการกับผลกำไรที่ได้มาให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดเช่นนำไปลงทุนต่อ อาจจะซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงมากขึ้น(ถ้าเจ๊งก็เอากำไรไปเจ๊ง) หรือเลือกเอากำไรจากหุ้นไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆบ้างเช่นทองคำ น้ำมัน เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการลงทุนครับ
ผู้เขียน:
อาจารย์ ธัญญพัฒน์ ธัญญศิริ
Facebook Fan page: @AjBraveTanjasiri