ในการลงทุนเปิดกิจการเป็นของตัวเองหรือลงทุนในลักษณะอื่นๆ สิ่งหนึ่งที่จะกระทบกับเราแน่นอนเลยก็คือค่าใช้จ่ายต่างๆที่มาจากการลงทุน ซึ่งเราก็จะนำเงินเก็บที่เราเก็บไว้ เอาออกมาใช้ เอาออกมาลงทุน ส่วนจะมาหรือจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจที่เราลงทุนลงไป โดยในการลงทุนและครั้งเราก็จะหวังผลตอบแทนเพื่อความมั่นของของชีวิตในอนาคต แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามในทุกครั้งของการลงทุน ก็อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนอย่างที่ตั้งใจไว้และกว่าจะรู้ตัวอีกที เงินเก็บที่เหลือจากการลงทุนครั้งที่แล้ว ก็เหลือไม่เยอะสักเท่าไหร่แล้ว
การลงทุนแล้วไม่ได้ผลตอบแทนเท่าที่ควร หรืออาจจะได้มีบ้างแต่ไม่เยอะ อาจจะเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังอย่างมากในเรื่องของการทำธุรกิจ เพราะนั่นหมายถึงรายจ่ายๆที่ต้องหักออกจากรายรับมันมีมากหรือรายรับที่ได้มา มันยังไม่เพียงพอสักเท่าไหร่ ซึ่งเมื่อเงินกำไรที่ได้มามันไม่เยอะ ก็ทำให้เงินเก็บที่เราจะนำไปไว้ใช้เพื่อลงทุนต่อก็มีไม่มากเช่นกัน ซึ่งก็จะส่งผลต่อความมั่นคงของบริษัทของเราเป็นอย่างมากในอนาคต และสิ่งที่เราจะทำได้หลังจากนี้ก็คือ
จัดการกับรายจ่ายประจำ
ในแต่ละเดือน สิ่งที่เราได้มาก็คือเงินที่ได้จากการลงทุน แน่นอนว่าเงินในส่วนนั้นก็ต้องมีการหักออกจากรายจ่ายประจำต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าจ้างผู้ช่วย ค่าวัตถุดิบ ค่าวัสดุอุปกรณ์ต่างๆอีกมากมาย ซึ่งถ้าหากว่าเราสูญเสียเงินให้กับรายจ่ายต่างๆในแต่ละเดือนมากกว่ารายได้ที่ได้มา นั่นหมายถึงการควักเงินเก็บออกมาจ่ายและก็มีโอกาสอย่างมากเลยล่ะที่ธุรกิจหรือกิจการของเราจะต้องล้มละลาย ฉะนั้นแล้วการจัดการกับรายจ่ายต่างๆไม่ว่าจะเป็นการลดภาระรายจ่ายในแต่ละเดือนออกไปบางส่วน หรือการเลือกที่จะลดต้นทุนโดยการใช้ของรีไซเคิลต่างๆ ก็จะช่วยรักษาเงินเก็บของเราไม่ให้ลดน้อยลงไปกว่าเดิมได้ดีอย่างมากเลยล่ะ
ระวังค่าใช้จ่ายยิบย่อยรวมไปถึงรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือย
ในการทำกิจการหรือเปิดธุรกิจ นอกจากจะมีรายจ่ายประจำเดือนแล้วก็ยังมีรายจ่ายในแต่ละวัน โดยรายจ่ายในส่วนนี้อาจจะใช้ซื้อของต่างๆที่เอาไว้ใช้อำนวยความสะดวกสบายให้กับเหล่าลูกค้าที่มาใช้บริการ หรือใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเหล่าพนักงานของเรา ไม่ว่าจะเป็นลูกอม เครื่องดื่มต่างๆ ปากกา อุปกรณ์สำนักงานและอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งแน่นอนว่ารายจ่ายในส่วนนี้ ค่อนข้างจำเป็นต้องใช้ แต่ในบางครั้งเราก็ไม่ควรที่จะควักเงินเก็บเพื่อซื้อบ่อยเกินไป
ระวังค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์
อุปกรณ์แต่ละชิ้นที่เราซื้อมาเพื่อเอาไว้ใช้ในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรต่างๆ อุปกรณ์โรงงาน เตาอบขนม ที่นึ่ง และอื่นๆอีกมากมายตามลักษณะของธุรกิจหรือตามลักษณะกิจการของเรา แน่นอนว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นก็จะมีราคาที่แตกต่างกันไป จะมีราคาตั้งแต่หลักพันปลายๆจนถึงหลักแสนเลยล่ะ ซึ่งอุปกรณ์ต่างๆ จำเป็นต้องมีการตรวจเช็คเพื่อซ่อมบำรุงกันอยู่เสมอเพื่อที่จะไม่ให้อุปกรณ์เหล่านั้นพังหรือเกิดความเสียหาย ถ้าหากว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราละเลยในเรื่องของการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ต่างๆเหล่านั้น อุปกรณ์ต่างๆที่เราละเลยไปก็อาจจะเกิดชำรุดและก็พังในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงที่เงินเก็บของเรายังน้อยๆ จะเจียดเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์ใหม่ ก็คงมีโอกาสทำให้เงินเก็บหมดได้เลยล่ะ
ระวังความเสี่ยงของการลงทุน
ในการทำธุรกิจ สิ่งหนึ่งที่เราคิดอยู่เสมอเกี่ยวกับธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่ก็คือความก้าวหน้า และการที่จะทำให้ธุรกิจของเราก้าวหน้าได้ก็คือการลงทุนเพิ่มตามจังหวะที่เราเจอโอกาสที่เหมาะแก่การลงทุน ซึ่งถ้าหากว่าในช่วงนั้นเป็นช่วงที่เงินเก็บของเรามีน้อย การลงทุนในครั้งนั้นก็อาจจะต้องพิจารณาไม่น้อยเลยล่ะว่าเหมาะสมแก่การลงทุนมากน้อยแค่ไหน มีความเสี่ยงมากมายหรือเปล่า และผลลัพธ์ที่ได้มาจะคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน เรียกได้ว่าจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นเป็นอย่างมากเลยล่ะ และถ้าหากว่าเราพลาดในส่วนนี้ เรียกได้ว่าอนาคตของกิจการของเราจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นกับรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นนะ
เพียงเท่านี้ เราก็จะสามารถช่วยรักษาเงินเก็บที่เหลือน้อยของเราไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าหากใครที่กำลังประสบปัญหาในลักษณะนี้อยู่ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตกใจหรือกังวลว่าธุรกิจหรือกิจการของเราจะมีวี่แววว่าจะปิดตัวลง เพราะในบางช่วงของการทำธุรกิจ รายได้หรือกำไรต่างๆที่เข้ามาจากการขายสินค้าหรือบริการในบางช่วงเวลาก็มีกำไรที่มาก ขายดีมีลูกค้าแน่นอนตลอด แต่ในบางช่วงก็เงียบเหงา เนื่องจากประชาชนมีรายจ่ายต่างๆที่สำคัญกว่าจึงทำให้ต้องลดรายจ่ายที่ยิบย่อยออกไป ไม่ว่าจะเป็นค่าเทอม ค่าเรียนพิเศษ ค่าชุดทำงานและอื่นๆอีกมากมาย ฉะนั้นแล้วหากใครที่กำลังประสบปัญหาทำธุรกิจแล้วเงินเก็บเหลือน้อย ก็ควรที่จะรัดเข็มขัดและค่อยๆหาวิธีเพิ่มยอดขาย หาวิธีสร้างกำไรให้กับธุรกิจหรือกิจการให้มากขึ้น ลดรายจ่ายต่างๆที่ไม่สมควรจะมีออกไปให้หมด รับรองได้ว่าธุรกิจหรือกิจการของเราจะสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ