ปัจจุบันการชำระเงินค่าบริการต่างๆ มักจะเป็นระบบ online ซึ่งเป็นการทำผ่าน internet กันเป็นส่วนมาก เพราะสะดวกสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำได้ทุกวัน ซึ่งสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้บริการในการทำธุรกรรมทางการเงินกันเป็นอย่างมาก เรามาเรียนรู้กันดีกว่าการชำระเงินแบบ online นั้นมีแบบไหนกันบ้าง และมีอะไรบ้างที่ควรจะต้องระมัดระวังในการใช้บริการ จ่ายเงินแบบ online
แบบแรก คือ บริการ internet banking
ซึ่งก็จะมีชื่อเรียกกันตามแต่ธนาคารแต่ละแห่งจะตั้งชื่อกัน แต่การบริการหลักๆ ก็คือ ให้บริการด้านโอนเงิน ชำระเงินค่าสินค้าและบริการ อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบยอดเงินในบัญชี ซื้อขายกองทุน ซื้อขายหุ้น หรือจะเป็นประกันภัยรถยนต์ก็สามารถทำได้ การเปิดใช้บริการ internet banking นั้นจะใช้ในการบริหารจัดการบัญชีเงินฝากธนาคารของเราได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเวลาการโอนเงินระหว่างบัญชีโดยอัตโนมัติ เป็นต้น อีกทั้งเราก็สามารถให้มีการแจ้งเตือนทุกครั้งที่มีเงินออกจากบัญชีของเรา เพื่อยืนยันการทำรายการ ซึ่งจะทำให้เรามั่นใจได้ว่ารายการที่เกิดขึ้นทาง internet banking นั้นเกิดจากการทำธุรกรรมด้วยตัวของเราเอง
ต่อมาก็เป็นจ่ายชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
โดยเราเพียงแต่กรอกข้อมูลการชำระเงิน เช่น หมายเลขบัตร ชื่อผู้ถือบัตร วันหมดอายุ หมายเลขรหัส CVV ซึ่งเป็นเลข 3 ตัวด้านหลังบัตรเครดิต อีกทั้งเพื่อยืนยันการทำรายการอีกทีจะต้องใส่รหัสผ่าน OTP ที่ย่อมาจาก One Time Password ต่อจากนั้นก็ได้รับข้อความยืนยันการชำระเงินทางหน้าเว็บไซต์หรือ SMS หรือทาง e-mail ตามแต่ที่เราจะแจ้งไว้กับธนาคาร
หรือจะเป็นการใช้ Mobile Banking
เพื่อทำรายการทางการเงินต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน หรือแทบเล็ต ที่ก่อนใช้งานเราจะต้องไปดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นที่เป็น mobile banking ของธนาคารที่เราใช้บริการอยู่ ซึ่งจะทำให้เราเหมือนมีกระเป๋าสตางค์หรือมีตู้ ATM บนโทรศัพท์มือถือกันเลย ซึ่งทำให้เราสามารถไปชำระค่าสินค้าหรือบริการผ่านโทรศัพท์มือถือได้ โดยที่ไม่ต้องใช้เงินสดหรือบัตรเครดิตก็มี
โดยการใช้บริการระบบ online ในการทำธุรกรรมทางการเงินนั้น เชื่อได้ว่าหลายๆ คนคงใช้กันเป็นประจำอยู่แล้ว และก็ต้องมาย้ำเตือนกันอีกครั้งว่าเราจะดูแลตัวเองยังไงให้การใช้บริการทางด้านการเงินต่างๆ ของเราบนโลก online นี้มีความปลอดภัยไม่ถูกเหล่ามิจฉาชีพต่างๆ ใช้เป็นช่องทางในการขโมยเงินของเราจากการที่เราใช้บริการทางการเงินแบบ online ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่หลายๆ คนรู้และระมัดระวังกันอยู่แล้ว แต่ก็เอามาเน้นย้ำกันอีกทีดีกว่า
หากเราอยากจะใช้บริการทางการเงินแบบ online ให้ปลอดภัยแล้วล่ะก็ เราจะต้องติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิธีรักษาความปลอดภัยอยู่เสมอ ไม่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ในการทำธุรกรรม และถ้าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเองก็ต้องติดตั้งโปรแกรมตรวจจับไวรัสที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง รวมทั้งต้องอัพเดทโปรแกรมให้ทันสมัยอยู่เสมอ และที่สำคัญเมื่อเราทำธุรกรรมทางการเงินบน internet เรียบร้อยแล้วก็ควรจะต้อง log out จากระบบทุกครั้ง ห้ามปิดหน้าจอโดยที่ไม่ได้ log out เพราะบางครั้งหากมีคนอื่นมาเปิดโปรแกรมต่อจากเราก็อาจจะขึ้นข้อมูลของเราให้คนอื่นเห็นได้ เช่น พี่น้องภายในบ้าน เป็นต้น
เวลาที่เราจะซื้อของออนไลน์ก็ควรจะเลือกร้านที่มีความน่าเชื่อถือกันสักนิด ซึ่งเราสามารถสังเกตได้จากเครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือในการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และความปลอดภัยในการชำระเงินออนไลน์ (Trustmark) ที่จะช่วยทำให้เราอุ่นใจได้ว่ามีการใช้ระบบความปลอดภัยของข้อมูลโดยการเข้ารหัส (Encryption) ที่ทำให้เรามั่นใจได้อีกเหมือนกันว่าข้อมูลำคัญจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือขโมยไประวังการทำรายการการเงินผ่าน internet ได้
สำหรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตโดยใช้ internet ก็เหมือนกัน เราก็จะต้องสังเกตให้ดีด้วยว่า ร้านค้านั้นมีสัญลักษณ์บนเว็บไซต์ที่แสดงถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้นหรือเปล่าด้วย เพื่อช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมทางการเงินของเราผ่าน internet นั่นก็คือเครื่องหมาย
สำหรับใครทีทำธุรกรรมทางการเงินแบบ online บ่อยๆ ก็ควรที่จะสมัครบริการรับ SMS หรือ e-mail สำหรับแจ้งเตือนทุกครั้งที่มีเงินเข้าออกจากบัญชีของเรา รวมทั้งควรที่จะกำหนดวงเงินในการทำธุรกรรมทางการเงินต่อวันให้มีจำนวนที่ไม่มากเกินไป เพื่อจำกัดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับบัญชีของเรา
การทำธุรกรรมทางการเงินบนโลก online นั้นเป็นเรื่องที่สะดวกสบายทำได้ตลอดเวลา แต่เรื่องการรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินบนโลก online ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลยเช่นกัน ดังนั้นสะดวกสบายแล้วอย่าลืมเรื่องความปลอดภัยกันด้วย
อ่านเพิ่มเติม :6 ข้อต้องระวัง ป้องกัน ถูกหลอกโอนเงิน