ค่อนข้างมั่นใจว่าเป้าหมายชีวิตของใครหลาย ๆ คนก็คือการมี Passive Income ที่มากพอที่จะทำให้ชีวิตของเราอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงาน เพราะนั่นก็คือเป้าหมายในชีวิตของผู้เขียนเหมือนกัน ลองจินตนาการดูสิคะ ว่าจะดีแค่ไหนหนอ ถ้าทุกวันแม้ว่าเราไม่ต้องทำงานประจำ หรือวิ่งรอกรับจ็อบให้เหนื่อย แต่รายได้ก็ยังเข้ามาหาเราอยู่ตลอด และก็มากพอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตแต่ละวันด้วย ชีวิตในฝันเลย จริงไหมคะ
ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราจะเห็นว่ามีบทความมากมายที่พูดถึงเรื่องของ Passive Income โดยมีการเปรียบเทียบว่า Active Income คือรายได้ที่เราต้องลงแรงทำเพื่อให้ได้เงินมา ถ้าหยุดเมื่อไหร่รายได้ก็จะหยุดไปด้วย ส่วน Passive Income นั้น เป็นรายได้ที่เข้ามาหาเราแม้ว่าเราจะไม่ต้องทำงานก็ตาม ถ้าเราหยุดทำงาน รายได้ส่วนนี้ก็ไม่ได้หยุดไปด้วย แต่เราจะได้ไปอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างของ Active Income ก็คือ เงินเดือน โบนัส ค่าคอมมิชชั่น รายได้จากการสอนพิเศษ รายได้จากการขายของ รายได้จากการรับจ้าง เป็นต้น ส่วน Passive Income นั้น ก็เช่น ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ เงินปันผลจากการลงทุน ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ค่าลิขสิทธิ์งานเขียน เป็นต้น คงพอมองภาพกันออกนะคะ ว่ารายได้ทั้งสองแบบนั้นต่างกันอย่างไร
เหตุผลที่คนส่วนใหญ่มองว่าควรหา Passive Income ให้มาก ๆ ก็เป็นเพราะว่าชีวิตเราไม่แน่นอน งานประจำที่ว่ามั่นคงก็ไม่ใช่ที่สุด ถึงวันหนึ่งก็อาจมีการเปลี่ยนแปลง งานบางอย่างถ้าป่วยหรือหยุดรายได้ก็ขาดหายไป หรือถ้าเบื่ออยากเลิกก็จะไม่ได้รายได้ก้อนนั้นอีก ส่วน Passive Income นั้น ต่อให้เราหยุดทำงาน ป่วยไม่สบาย หรือพักไปท่องเที่ยว รายได้ก็ไม่ขาดหายไป ยังได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนเดิม
แต่หากเราจะมองกันให้ลึกลงไปจริง ๆ แล้ว ไม่มีรายได้ไหนที่จะเรียกได้เต็มปากว่าเป็น Passive Income ที่แท้จริง ถ้า Passive Income ในฝันคือรายได้ที่เข้ามาโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ลองนึกตามกันดู อย่างรายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ ที่อาจดูสวยหรูว่าเหมือนเสือนอนกิน แต่การเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลย หากมีการเปลี่ยนผู้เช่าเราก็ต้องพูดคุย แนะนำ และติดต่อเพื่อทำสัญญาเช่าใหม่ ยิ่งโดยเฉพาะช่วงที่ขาดผู้เช่า ก็เป็นหน้าที่เราอีกที่ต้องหาช่องทางโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อหาคนเช่า
เงินปันผลหรือกำไรจากการลงทุนก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราลงเงินไปครั้งเดียวแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรอีก เราจะต้องติดตามข่าวสารการลงทุนอยู่เสมอ มอนิเตอร์ว่าพอร์ตการลงทุนของเรายังคงทำกำไรได้ดีอยู่หรือไม่ หุ้นตัวไหนยังถือยาวได้ หุ้นตัวไหนควรจัดเพิ่ม หรือหุ้นตัวไหนไม่ควรได้ไปต่อ ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารก็ด้วย ถ้าปล่อยไม่ดูดำดูดี ดอกเบี้ยที่ได้ก็ต้องบอกว่าแทบจะไม่เหลือ หากอยากจะได้ดอกเบี้ยที่ดีบ้าง ก็ต้องคอยติดตามว่าช่วงไหนแบงก์ไหนมีออกเงินฝากใหม่ ๆ ดอกเบี้ยสูง ก็จะต้องคอยวิ่งเข้าออกแบงก์โน้นแบงก์นี้อยู่เหมือนกัน
นี่ก็เลยเป็นที่มาของความคิดว่า Passive Income อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย! เพราะแต่ละอย่างเราก็ยังคงต้องลงทุนลงแรงกับมันอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะนั่ง ๆ นอน ๆ ไม่ต้องทำอะไรแล้วเงินก็เข้ามา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ทุกคนเลิกคิดถึง Passive Income แล้วก็กลับไปหน้าดำคร่ำเครียดกับงานประจำแบบไม่มีทางเลือก เพราะอย่างไรการมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่าการมีรายได้ทางเดียวแน่นอนและ Passive Income ก็ไม่ได้ต้องการเวลาหรือแรงจากเรามากเท่ากับรายได้จากงานประจำ รายได้จากค่าเช่า เงินลงทุน หรือค่าลิขสิทธิ์ต่าง ๆ นั้น จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่รายได้จากการทำงานจะต้องแบกรับอยู่
อยากบอกไปถึงคนทำงานประจำหรือทำงานอื่น ๆ ที่ยังคงต้องใช้แรงงาน แรงสมอง และสองมือเพื่อแลกกับรายได้ที่เข้ามานั้นว่ารายได้ที่คุณกำลังสร้างนั้นถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าจะมาคิดคำนวณกันจริง ๆ แล้วการจะทำให้รายได้จาก Passive Income เท่ากับรายได้จากการทำงานที่คุณได้รับอยู่ตอนนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย! และถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ล่ะ ทั้งเรื่องค่าเช่า เงินปันผล หรือดอกเบี้ย ก็พัง! นี่เป็นเหมือนเหรียญอีกด้านของ Passive Income ดังนั้นในขณะที่เรายังมีแรงทำงานได้ นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด อย่ามัวแต่ไปเพ่งมองที่จุดเดียวของ Passive Income จนทำให้เราขาดแรงจูงใจในการทำหน้าที่หรือรับผิดชอบงานในวันนี้ของเราให้ดีที่สุดก่อน
มีคนที่ผู้เขียนรู้จักอยู่คนหนึ่ง เพียงแค่ Passive Income จากค่าเช่า เงินปันผล และดอกเบี้ย ก็ทำให้เธออยู่ได้แบบสบาย ๆ แต่เธอก็ยังเลือกที่จะทำงานต่อไป โดยเหตุผลที่เธอให้นั้นก็คือ ถ้าเธอนั่งรอนอนรอแต่รายได้จาก Passive Income อย่างเดียว เธอคงเฉาตายแน่ ๆ ชีวิตเธอคงเหมือนว่าจบลงแล้วทั้งที่มีลมหายใจอยู่ เธอจึงเลือกที่จะทำงานที่เธอรัก เป็นงานที่ถ้าจะดูกันจริง ๆ ก็ไม่ได้มีรายได้มากมายอะไร แต่เป็นงานที่เธอชอบและใฝ่ฝันอยากทำตั้งแต่ยังเด็ก เป็นงานที่เธอได้ใช้ความคิด ที่สำคัญเธอได้แบ่งปันประสบการณ์ที่เรียนรู้มาตลอดชีวิตผ่านงานของเธอ นี่เองที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเองไม่ไร้ค่า ยังทำประโยชน์อะไรให้กับคนอื่น ๆ ได้อีก
ให้ Passive Income เป็นเป้าหมายและความใฝ่ฝันที่ทำให้เราเหนื่อยน้อยลง ส่วน Active Income ก็ให้เป็นส่วนเติมเต็มให้ชีวิตของเราได้ทำอะไรที่ชอบและมีคุณค่าไม่ว่าจะกับตัวเองหรือคนอื่นก็ตาม เพียงแค่นี้ความสุขในชีวิตก็อยู่ไม่ไกลค่ะ