คนรวยบนโลกใบนี้มีไม่มากถ้าเทียบกับประชากรหกพันล้านคน คนที่รวยระดับมหาเศรษฐีมีประมาณ หลักล้านคนเห็นจะได้ เศรษฐีล้านคนเหล่านี้ร่ำรวยขึ้นมาจากหลากหลายสาขาอาชีพและกระจายกันอยู่ตามมุมต่างๆบนโลก วันนี้ลองมาดูหลักคิดของมหาเศรษฐี 3 คน ว่าเขามีวิธีคิดและมุมมองต่อการหาเงินอย่างไร
อ่านเพิิ่มเติม : คนรวย VS คนอยากรวย
คนแรกคือ ลีกาชิง
มหาเศรษฐกิจชาวฮ่องกง ที่เริ่มต้นจากการไม่มีเงินทองมากมาย เขาเป็นลูกชาวนายากจน และหาเงินส่งเสียตัวเองเพื่อให้ได้รับการศึกษา ทำงานหนักเพื่อเอาเงินมาซื้อหนังสืออ่าน เรียกว่าชีวิตเริ่มต้นจากศูนย์จนกลายเป็นมหาเศรษฐีมีเงินเป็นหมื่นล้าน เขามีหลักคิดเรื่องการบริหารเงินดังนี้
- ร้อยละ 25 ของรายได้ ให้นำมาเก็บออมเพื่อประกอบธุรกิจของตนเอง นั่นคือ เมื่อมีรายได้ จะกันเงินเก็บออกมาไว้ก่อนเลย จากนั้นจึงค่อยนำไปใช้สอย
- ร้อยละ 30 ของรายได้ ให้นำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน คนเราจะดำรงชีวิตอยู่ได้ ต้องกินต้องอยู่ ซึ่งเงินในส่วนนี้เป็นสิ่งจำเป็น และมากพอสำหรับคนคนหนึ่งที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้แล้ว หากเราใช้เงินเกินกว่า ร้อยละ 30 ของรายได้ ถือว่าเกินความจำเป็น และดูฟุ่มเฟือยไปแล้ว
- ร้อยละ 20 ของรายได้ เก็บไว้ใช้เป็นต้นทุนเพื่อสร้างคอนเน็กชั่น คนเราจะใหญ่ได้ต้องอาศัยคนอื่นๆด้วย ต้องมีสายสัมพันธุ์อันดี เพื่อช่วยเหลือเกิ้อกูลกันในวันข้างหน้า การจะคบค้าสมาคมต้องใช้เงิน ดังนั้นจึงต้องกันเงินไว้เพื่อการนี้ด้วย
- ร้อยละ 15 ของรายได้นำไปเพิ่มพูนความรู้ เช่น นำไปซื้อหนังสือเข้าคอร์สอบรม หรือเรียนต่อ การลงทุนในความรู้จะอยู่กับตัวเราจนวันตาย และการไม่เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็มีแต่จะถอยหลังลงคลอง คนรวยจึงต้องศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ
- ร้อยละ 10 ของรายได้ใช้จ่ายเพื่อสร้างประสบการณ์และเปิดโลกทัศน์ คนเราถ้าอยู่แต่ที่เดิม ความคิดก็คับแคบ การได้ออกไปหาประสบการณ์ต่างแดนไปท่องเที่ยว หรือไปทำกิจกรรมอะไรใหม่ ๆ อาจนำไอเดียใหม่ๆที่จะสร้างธุรกิจในอนาคตได้ หรือต่อยอดธุรกิจได้ ดังนั้นการเปิดโลกทัศน์จึงเป็นสิ่งจำเป็นและควรทำอย่างยิ่ง
มหาเศรษฐีคนที่สองคือ วอร์เรน บัฟเฟต
ที่บริหารเงินระดับหมื่นล้านเหรียญและเป็นแรงบันดาลใจให้นักลงทุนทั่วโลก เขามีหลักคิดเองการลงทุนดังนี้
- ข้อหนึ่ง จงลงมือทำตั้งแต่วันนี้ คนส่วนใหญ่ได้แต่บอกว่า จะทำ จะเริ่ม แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำจริงสักที บัฟเฟต บอกว่า อย่ารอช้าที่จะลงมือทำ เริ่มต้นเดี๋ยวนี้
- ข้อสอง ศึกษาให้เข้าใจก่อนลงทุน การลงทุนคือการนำเงินไปลงกับกิจการนั้นเป็นเวลานาน ดังนั้นต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เรื่องอะไรที่ตัวเองยังไม่รู้จริงก็อย่าเพิ่งเสี่ยงทุ่มเงินไปลงทุน
- ข้อสาม การลงทุนในหุ้นต้องลงทุนระยะยาว บางคนถือหุ้นเดือนเดียวก็บอกว่า ตัวเองเป็นนักลงทุนระยะยาว บางคนถือได้ 1 ปี ก็เรียกตัวเองว่าเป็นนักลงทุนระยะยาวแล้ว แต่สำหรับบัฟเฟต ระยะยาวหมายคือการลงทุนเป็นสิบๆปี หรือบางอย่างระยะยาวหมายถึงการลงทุนตลอดทั้งชีวิตเลย
มหาเศรษฐีคนใหม่ล่าสุดของโลกก็คือ แจ๊ค หม่า
หนึ่งในบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการทำการค้าบนโลกอินเตอร์เน็ต เขามีหลักคิดในการทำธุรกิจดังนี้
- ข้อหนึ่ง โอกาสที่ไม่ชัดคือโอกาสที่ต้องคว้า แนวคิดนี้น่าสนใจ เราต้องกล้าเสี่ยงทำในสิ่งที่ไม่ค่อยมีคนทำ เพราะถ้าทุกคนต่างเห็นโอกาส จะเกิดการแย่งกันทำ ท้ายที่สุด ผลตอบแทนก็จะน้อยตามไปด้วย
- ข้อสอง ยึดฐานลูกค้าเก่าให้มั่น ดีกว่าวิ่งวุ่นหาลูกค้าใหม่ ร้อยละแปดสิบของรายได้จะมาจากลูกค้าเก่า ดังนั้นต้องทำให้ลูกค้าเก่าเป็นลูกค้าของเราต่อไปให้ได้
- ข้อสาม เส้นทางประสบความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับทัศนคติของตัวเราเอง บางคนชอบโชคชะตา ขณะที่บางคนแม้จะยากจนแต่เขาก็ขวนขวายสร้างโอกาสด้วยตนเอง การมีแนวคิดที่ถูกต้องนับเป็นสิ่งสำคัญในการนำพาชึวิตของเราให้พบกับความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตครอบครัวหรือเรื่องการเงิน
จะเห็นได้ว่าเศรษฐีแต่ละคนก็จะมีแนวคิดเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร ไม่ว่าพื้นฐานการเงินจะมีมากน้อยแค่ไหน คนเราก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวให้ร่ำรวยขึ้นมาได้ สิ่งสำคัญคือ การเริ่มต้นลงมือ หากมัวแต่คิด และมองเห็นแต่อุปสรรคอยู่ข้างหน้า เราก็จะไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำอะไร และชีวิตเราก็จะไม่ไปไหน อยากรวยต้องลงมือทำ