ในช่วงนี้หลายคนคงสัมผัสได้ว่าตั้งแต่เดือนเมษายน อากาศประเทศไทยมีความร้อนชื้นสูงมาก อากาศมีลักษณะอบร้อนไม่สบายตัวมาก อีกทั้งแสงแดดก็แรงมาก ในช่วงเวลาเช้า กลางวัน และบ่ายแก่ ๆ เข้าช่วงเย็น หรือแม้แต่เวลากลางคืนก็มีอากาศร้อนชื้น โดยอุณหภูมิสูงขึ้น 38 – 45 องศากันเลยทีเดียว นอกจากนี้ในเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุยิ่งต้องระวัง เพราะอาจจะเป็นลมแดดได้ กรณีลมแดดสามารถเกิดขึ้นได้แม้ว่าเราจะอยู่ในร่ม เมื่ออุณหภูมิสูงแตะ 40 และความชื้นสัมพัทธ์สูงถึง 70% จะทำให้ไม่สบายตัวได้ ดังนั้นจึงขอนำเสนอวิธีการป้องกันดังนี้
การป้องกัน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้ได้ 2 ลิตร/วัน
- หลีกเลี่ยงอากาศร้อน ถ่ายเท ไม่สะดวก หากร้อนมากควรพยายามลดความร้อน โดยอาบน้ำ เปิดแอร์ เปิดพัดลม
- ไม่ควรออกกำลังกายหักโหม หากรู้สึกเหนื่อยมากควรรีบพัก ทันที ควรมีการอบอุ่นร่างกายก่อนและหลังออกกำลังกาย
- สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี
- หากต้องทำงานกลางแจ้งควรสวมหมวกป้องกัน หรือเตรียมตัวออกกำลังกายกลางแจ้งล่วงหน้า เพื่อให้ร่างกายชินกับสภาพอากาศร้อน
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาบางชนิดที่เพิ่มความร้อนให้ร่างกาย
อาการของโรค
อาการสำคัญได้แก่ ตัวร้อน อุณหภูมิร่ายกาย 41 องศาเซลเซียส มีเหงื่อออกในกลุ่ม EHS และไม่มีเหงื่อออกในกลุ่ม NEHS ประวัติสัมพันธ์กับอากาศร้อนขณะทำกิจกรรมหรือออกกำลังกาย มีอาการเพ้อ ความดันเลือดลดลง การทำงานของอวัยวะต่างๆล้มเหลว กระสับกระส่าย มึนงง สับสน ชักเกร็ง หมดสติ
โดยกลไกการทำงานของร่างกายหลังจากได้รับความร้อน จะมีการปรับตัวโดยส่งน้ำ หรือเลือดไปเลี้ยงอวัยวะภายใน เช่น สมอง ตับ และกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวหนังขาดเลือดและน้ำไปเลี้ยง จึงไม่สามารถระบายความร้อนออกจากร่างกายได้
การช่วยเหลือเบื้องต้น
นำผู้ที่มีอาการเข้าในร่ม นอนราบ ยกเท้าสูง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด ถอดเสื้อผ้า ใช้น้ำเย็นประคบบริเวณ ใบหน้า ข้อพับ ขาหนีบ และใช้พัดลมเป่าเพื่อระบายความร้อน ใช้น้ำเย็นราดลงบนตัว เพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้เร็วที่สุด และรีบนำส่งโรงพยาบาล
การรักษา
โรคลมแดดเป็นภาวะเร่งด่วนทางการแพทย์ที่ต้องรีบให้รักษาทันที ต้องรับคนไข้ไว้ติดตามอาการต่างๆ ในโรงพยาบาล อย่างน้อย 48 ชั่วโมงในหอผู้ป่วยวิกฤต โดยรักษาดังนี้ (ข้อมูลจากศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ)
- ลดอุณหภูมิร่างกายลง โดยค่อยๆอุณหภูมิลงมาที่ 39 องศาเซลเซียส ไม่ต้องการลดให้ลดเร็วเกินไป โดยพ่นละอองน้ำ ใช้น้ำอุ่น ร่วมกับเปิดพัดลมเป่า จะช่วยระบายความร้อนได้ดีทีสุด ปลอดภัยกว่าการจุ่มลงในน้ำผสมน้ำแข็ง ซึ่งทำให้เกิดการหนาวสั่น เส้นเลือดหดตัวทำให้ความร้อนยิ่งเพิ่มขึ้น
- การลดความร้อนวิธีอื่นๆ ไม่มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจนแต่ยังสามารถทำได้ เช่น การใส่สายเข้าไปในกระเพาะอาหาร ช่องท้อง และทวารหนัก แล้วทำการล้างด้วยน้ำเย็น การใช้ออกซิเจนเย็น
- ให้สารน้ำทางหลอดเลือด การให้สารน้ำอย่างพอดี ถ้าพบว่ามีการสลายกล้ามเนื้อ มีเลือดออกในปัสสาวะ อาจต้องให้สารน้ำมากขึ้น และต้องเฝ้าระวังการ จดบันทึกการขับถ่ายปัสสาวะ
- แก้ไขภาวะน้ำตาลในเลือด หากพบว่ามีภาวะน้ำตาลต่ำ
- เฝ้าระวังการผิดปกติของระบบต่างๆ และรีบแก้ไขทันที
นอกจากนี้หลาย ๆ ท่านที่อาศัยอยู่ในเมืองกรุงเทพฯ ก็มักจะหนีร้อนเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เพราะมีแอร์เย็น และมีอาหารรับประทาน ในช่วงหน้าร้อนเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษาภาคมจึงทำให้พบว่ามีคนมาห้างมากว่าในทุก ๆ ช่วง ที่จอดรถก็จะหายากมาก ๆ ดังนั้นถ้าไม่อยากเที่ยวห้างแบบจำเจ อาจจะจัดทริปไปรับลมทะเลที่ต่างจังหวัดเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนหรือการทำงาน พร้อมกับดื่มน้ำเยอะ ๆ แต่ขอให้เน้นเป็นน้ำเปล่า ไม่ควรดื่มน้ำหวาน หรือกาแฟ เพราะอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงเป็นโรคอ้วนได้