บัตรผ่อนสินค้า เป็นบัตรอีกใบหนึ่งที่จะช่วยให้เราหมุนในเงินกระเป๋า และบริหารจัดการรายรับรายจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้จักบัตรผ่อนสินค้าดีพอ หรือ บางคนอาจจะไม่เข้าใจความแตกต่างกันระหว่างบัตรผ่อนสินค้า บัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรชนิดอื่น วันนี้เราจะมาขยายความให้เข้าใจมากขึ้นกัน
บัตรผ่อนสินค้าคืออะไร
ขั้นตอนแรกเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า บัตรผ่อนสินค้าคืออะไร บัตรผ่อนสินค้าความหมายของมันก็คือ บัตรที่จะทำหน้าเป็นตัวแทนในการซื้อสินค้าให้กับเรา ผ่านตัวแทนหรือพันธมิตรของบัตรนั้นๆ จากนั้นเราก็มีหน้าที่ผ่อนชำระค่างวด(หนี้)ที่เกิดขึ้นจากการซื้อสินค้านั้นกับบัตรผ่อนสินค้าเหล่านั้นแทน โดยบัตรผ่อนสินค้านี้จะทำได้แค่ผ่อนอย่างเดียวไม่สามารถกดเงินสด หรือรูดซื้อสินค้าที่ร้านค้านอกพันธมิตรได้
ข้อดีของบัตรผ่อนสินค้า
สำหรับข้อดีของบัตรผ่อนสินค้านั้น อย่างแรกเลยก็คือ สมัครง่าย อนุมัติไว คุณสมบัติของผู้สมัครนั้นไม่เข้มงวดเท่าไร สองบัตรผ่อนสินค้าจะไม่สามารถทำอย่างอื่นได้เลย ซื้อของได้อย่างเดียว ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะไปใช้ซื้อของที่เกินกว่าที่คิดไว้ สามบัตรผ่อนสินค้าหากเราเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าที่เป็นพันธมิตรของบัตรผ่อนสินค้าอาจจะได้โปรโมชั่นผ่อน 0% และของแถมพิเศษกว่าการซื้อด้วยเงินสด สี่เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคนที่อยากได้สินค้าแต่ยังไม่มีเงิน หรือเพิ่งเริ่มทำงาน
ข้อจำกัดของบัตรผ่อนสินค้า
ไม่เพียงแต่ข้อดีเท่านั้น บัตรผ่อนสินค้าเองก็มีข้อจำกัดที่เราต้องระมัดระวังการใช้อย่างรอบคอบด้วย อย่างแรกเลยก็คือ เรื่องของร้านค้าหรือพันธมิตรที่ร่วมหลายการ บางครั้งอาจจะไม่หลากหลายพอ สินค้าบางอย่างอาจจะไม่สามารถใช้บัตรผ่อนสินค้านี้ซื้อได้(ในกรุงเทพไม่เท่าไร แต่ต่างจังหวัดนี่เห็นชัดเลย) สองเรื่องของดอกเบี้ยที่จัดว่าสูงพอควรเลย (ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ร้อยละ 20-28 ต่อปี)ดังนั้นก่อนจะหยิบมาซื้อสินค้าอะไรควรคิดดูให้ดีเสียก่อน สามบัตรผ่อนสินค้าเดี๋ยวนี้มักจะมีวงเงินอื่นๆแถมมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นวงเงินสำหรับเงินสด วงเงินเครดิต เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้บัตรให้มากที่สุด ถ้าไม่อยากเป็นหนี้มากเกินไปควรตรวจสอบวงเงินในการใช้ทุกครั้ง สี่การใช้บัตรแต่ละครั้ง ไม่ค่อยมีผลตอบแทนกลับคืนมาในรูปของแต้มสะสมเพื่อแลกของรางวัล หรือ แคชแบ็ค เท่าไร
บัตรผ่อนสินค้าเหมาะกับใครบ้าง
บัตรผ่อนสินค้า หากเรามองไปที่ข้อดีของมันเอง ต้องบอกเลยว่าเป็นบัตรที่เหมาะมากกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน รายได้ยังไม่สูงมาก หรือ เจ้าของกิจการที่ยังมีเงินสดหมุนเวียนในระบบไม่มาก น่าจะใช้ได้ดีเลย เพราะคนที่เพิ่งเริ่มทำงานบางครั้งอาจจะต้องซื้อเครื่องมือ เสื้อผ้าในการทำงาน อย่าง คอมพิวเตอร์พกพา(Notebook) หรือ รองเท้า สูท ซึ่งของเหล่านี้บางทีราคาสูงเงินเก็บก็ยังไม่มี การเอาบัตรผ่อนสินค้ามาใช้แล้วค่อยเอาเงินที่ได้จากการทำงานทยอยใช้คืนจึงเป็นทางออกที่ดี
บัตรผ่อนสินค้าแตกต่างจากบัตรอื่นตรงไหน
มาถึงคำถามสำคัญกันก็คือ บัตรผ่อนสินค้ากับบัตรเครดิตแตกต่างกันตรงไหน แน่นอนว่าทั้งสองใบแตกต่างกันมากทีเดียว อย่างเช่น เรื่องของการใช้งานบัตรผ่อนสินค้าอาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องของสินค้าและบริการบางอย่างที่ไม่เข้าร่วมรายการก็ใช้ไม่ได้ แต่บัตรเครดิตใช้ได้หมด สองบัตรเครดิตจะมีดอกเบี้ยที่ถูกกว่าบัตรผ่อนสินค้า(ในกรณีที่บัตรระดับเดียวกัน)ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมไม่แตกต่างกัน สามบัตรเครดิตหากใช้แล้วจะมีการสะสมแต้มแลกของรางวัล หรือ ได้รับแคชแบ็ค(เครดิตเงินคืน)แต่บัตรผ่อนสินค้าไม่มีตรงนี้ หรือมีก็น้อยมาก สี่บัตรเครดิตจะได้รับสิทธิประโยชน์หรือสิทธิพิเศษมากกว่าบัตรผ่อนสินค้าเช่น ที่จอดรถ การลด แลก แจก แถม เป็นต้น
ตัวอย่างบัตรผ่อนสินค้าที่มีในท้องตลาดปัจจุบัน
บัตรผ่อนสินค้า เป็นผลิตภัณฑ์ด้านการเงินที่มีอยู่ไม่ค่อยมากเท่าไรในปัจจุบันถ้าเทียบกับบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต แต่บัตรผ่อนสินค้าที่เป็นที่นิยมก็มี เช่น
- บัตรผ่อนสินค้าเฟิร์สช้อยส์ จากธนาคารกรุงศรี มีจุดเด่นในเรื่องของการอนุมัติ ที่รวดเร็ว รับบัตรได้เลยถ้าผ่าน
- สองบัตรผ่อนสินค้าอิออน บัตรผ่อนสินค้ายอดนิยม ที่ชูจุดเด่นในเรื่องของรายได้ขั้นต่ำในการสมัครที่ต้องบอกว่าน้อยจริง ใครก็สมัครได้
- สามบัตรผ่อนสินค้าเพาเวอร์บาย บัตรนี้เน้นการซื้อสินค้าเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในเครือของเพาเวอร์บาย แต่สินค้าอื่นก็ซื้อได้นะ(ต้องดูในรายละเอียด)
คุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครบัตรผ่อนสินค้า
อย่างที่บอกไปตอนต้นแล้วว่า บัตรผ่อนสินค้านั้น เป็นบัตรที่เงื่อนไขในการสมัครนั้นไม่เข้มงวดเลย อย่างเช่นเรื่องของรายได้ของผู้ขอบัตร ก็เริ่มต้นที่ 5,000 บาท เท่านั้น ส่วนระยะเวลาการทำงานก็นับเพียงแค่ 3 เดือนขึ้นไป รวมกับเอกสารยืนยันตัวตนที่เราต้องมีอย่างชัดเจน เช่น ทะเบียนบ้าน ที่อยู่ปัจจุบัน(ในกรณีที่ไม่ได้อยู่ตามทะเบียนบ้าน) ที่อยู่ที่ทำงาน เบอร์โทรศัพท์ เท่านั้นก็สามารถยื่นขอสมัครบัตรผ่อนสินค้าได้แล้ว ส่วนขั้นตอนการขอนั้นก็ไม่ยาก เพียงแค่กรอกใบสมัคร ยื่นเอกสาร รออนุมัติ ถ้าผ่านก็รอรับบัตรไปลองซื้อสินค้าได้เลย โดยขั้นตอนทั้งหมดนี้ ใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงเท่านั้น