‘มหาเศรษฐีในโลก 62 คน มีทรัพย์สินมากกว่าคนยากจนครึ่งโลกรวมกัน’
เห็นพาดหัวข่าวนี้ คุณรู้สึกยังไงบ้างคะ…
คงจะอึ้ง บวกทึ่ง หรือสะพรึงไปพร้อมๆ กัน และเริ่มแตกความคิดเห็นไปหลายๆ ทาง บ้างก็ว่า เป็นเพราะเขามีบุญวาสนา จึงเกิดมาในชาติตระกูลที่มีทรัพย์พร้อม จึงไม่น่าแปลกที่เขาจะมีเงินทองทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนั้น หรือเป็นเพราะเขาทำงานหนัก และรู้จักบริหารจัดการเงินในกระเป๋า ต่อยอดทรัพย์สินให้งอกเงย เขาถึงได้ร่ำรวยจนเป็นมหาเศรษฐีอย่างเช่นทุกวันนี้ แต่บางคนก็คิดในทางกลับกันว่า เงินที่เขาได้มาหรือนำไปต่อยอด ทำอย่างถูกวิธีหรือไม่ ทำไมถึงได้เติบโตงอกเงยเร็วปานสายฟ้าแลบแบบน่าตกใจ…ล้วนแล้วก็เป็นเรื่องนานาจิตตังที่ชวนให้ขบคิดกันไป
แต่จากช่องว่างที่เรียกว่าว่างมากจนน่ากลัวนี้ ทำให้องค์กรออกซ์แฟม (Oxfam) หนึ่งในองค์กรที่ทำงานต่อสู้เพื่อคนยากจนและความเสมอภาคของประชากรโลก ได้ทำการสำรวจ และรวบรวมข้อมูลที่ได้จากธนาคารเครดิตสวิส เมื่อเดือนตุลาคม 2558 จนนำมาเผยให้ทั่วโลกได้รับรู้ร่วมกันว่า หากนำแค่เพียง 1% จากทรัพย์สินและเงินสดของมหาเศรษฐีทั่วโลกเพียงแค่ 62 คน จะมีมูลค่าเท่ากับทรัพย์สินของประชากรโลกที่เหลือทั้งหมด 99% รวมกันเสียอีก และความน่ากลัวนี้ยังไม่ลดหายไปแต่อย่างใด กลับมีแนวโน้มที่ความรวย และคนรวยจะมีมากขึ้นอีกในอนาคต จึงเป็นเรื่องสะท้อนให้เห็นว่าช่องว่างระหว่างคนรวยและคนยากจนอยู่ในระดับที่น่าวิตกอย่างมากทีเดียว
และเมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้ว คุณรู้สึกยังไงกันบ้าง…
Mark Goldring ผู้บริหารของออกซ์แฟมตอกย้ำข้อมูลที่แน่นปึ้กแล้วเสนอต่ออีกว่า ยังมีคนที่มีเงินและทรัพย์สินจำนวน 68,000 ดอลลาร์ หรือราว 2,516,000 บาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 10% ของประชากรโลกทั้งหมด นั่นหมายถึง หากใครก็ตามที่มีบ้านอยู่ในกรุงลอนดอนสักหนึ่งหลัง โดยไม่ได้จำนองไว้กับธนาคาร ก็บ่งบอกได้แล้วว่า บางทีคนนั้นอาจอยู่ในกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ซึ่งมีเพียงแค่เปอร์เซ็นต์เดียว และนี่ถือเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ที่คนจนครึ่งหนึ่งของโลก ไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองเทียบเท่าคนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งยังมี 1 ใน 9 คน บนโลกนี้ที่ต้องเข้านอนด้วยความหิวโหย และรอคอยความช่วยเหลือ ในขณะที่คนรวยอิ่มหนำสำราญและกินอาหารทิ้งขว้างอย่างไม่รู้คุณค่าเสียเลย
ด้วยเหตุนี้ องค์กรออกซ์แฟม ได้ออกมาเสนอวิธีลดช่องว่างความแตกต่างระหว่างคนจนและ คนรวย ที่มากเกินไป ในการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยการขอความร่วมมือจากรัฐบาลทั่วโลกช่วยเคร่งครัดและปราบปรามการหลบเลี่ยงภาษี ให้มีการเพิ่มการลงทุนในบริการสาธารณะเพื่อสร้างงานในระดับรากหญ้า และเพิ่มค่าตอบแทนแก่ผู้มีรายได้น้อย เพราะนักธุรกิจส่วนใหญ่มักจะนำเงินไปพักไว้ในประเทศที่เป็นแหล่งฟอกเงิน ซ้ำร้ายประเทศเหล่านั้นยังให้การสนับสนุนในการปกปิดข้อมูลลับดำมืดนี้อีก จึงเป็นผลให้รัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บภาษีเพื่อนำมาพัฒนา และแก้ปัญหาการเหลื่อมล้ำทางสังคมนี้ได้ นอกจากนี้ยังมีการเรียกร้องให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำให้มากขึ้น เพื่อช่วยคนรากหญ้าให้สามารถลืมตาอ้าปากได้อย่างสะดวกอีกด้วย
ด้านองค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ก็ได้ออกมาหนุนเตือนผู้นำทั่วโลกให้ตระหนักถึงปัญหานี้เช่นกัน เพราะความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่เพิ่มขึ้นอาจคืบคลานกลายเป็นวิกฤต ที่จะส่งผลต่อความร่วมมือทางสังคมและเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นับเป็นปัญหาลูกโซ่ที่เชื่อมต่อโยงใยถึงกัน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในระดับฐานะใดก็ตาม
‘เพราะแค่ชะล่าใจไม่ตระหนักให้ดี ปล่อยให้ช่องว่างนี้กว้างมากขึ้นๆ ความรวยของคุณอาจทำให้คุณทรุดเองก็เป็นได้’
ที่มา