มาอีกแล้วกับ เรื่องเล่าชาวออฟฟิศ ก็เป็นธรรมดาที่มนุษย์ออฟฟิศมักจะมีประสบการณ์ต่างๆที่น่าสนใจยิ่งมีเพื่อนหลายคนทำงานในสถานที่ต่างๆกันก็ต้องมีการเม้าท์มอยส์บอกเล่ากันเป็นเรื่องปรกติและเรื่องของตอนนี้คือ ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ มันก็ดูจะน่าสงสัยใช่ไหมว่าปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ คืออะไรหลายคนไม่รู้จักวลีนี้ ซึ่งจริงๆแล้วมันก็หมายถึง
คนที่มีการพูดจาดี น่าเชื่อถือ พูดเพราะ แต่ในใจคิดแต่หาผลประโยชน์คิดแง่ร้ายกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลาเพราะต่อหน้าคือรอยยิ้ม แต่มือที่ไขว้หลังถือมีดพร้อมแทงคุณตลอดเวลา
หลายคนคงเคยประสบพบเจอกันมาบ้าง แต่หลายคนไม่เคยเจอก็ถือว่าโชคดีไป และเรื่องนี้มาจากเพื่อนของผู้เขียนเองซึ่ง
เพื่อนคนนี้เคยได้ทำงานกับบริษัทของชาวต่างชาติ ออฟฟิศไม่ใหญ่มากนัก มีพนักงานประมาณ 20 คนแบ่งเป็นแผนกต่างๆเหมือนทั่วไป ซึ่งบริษัทที่เพื่อนทำงานนั้นเป็นการนำเข้าสินค้าต่างประเทศประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีเจ้านายเป็นชาวต่างชาติ 2 คนคือผู้บริหารใหญ่ และ อีกคนที่เปรียบเสมือนหัวหน้าฝ่าย ซึ่งงานหลักๆของเพื่อนคนนี้คือประสานงานฝ่ายขาย หรือเรียกง่ายๆว่าธุรการฝ่ายขาย หรือจะเบ้ฝ่ายขายเลยก็ได้ เพราะต้องทำงานตามเซลล์ระบุมา เช่นทำโบชัวร์สินค้า ติดต่อฝ่ายนำเข้าสินค้า ติดตามสต๊อกสินค้า และอื่นๆแล้วแต่จะแพลนงานกันแต่ละสัปดาห์ซึ่งจะอยู่แนวๆนี้ รวมถึงคอยช่วยเทคแคร์ลูกค้าในบางครั้งด้วย ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไร แต่ขอบอกมียิ่งกว่าละคร เพราะที่นี่พนักงานจะแบ่งพวกกันคือ พวกใครพวกมัน ฝ่ายขายก็พวกฝ่ายขาย บัญชีก็พวกบัญชี ปะทะคารมกันประจำทั้งๆที่ทำงานที่เดียวกันเจอหน้ากันทุกวัน บางคนทำงานมาในเวลาใกล้เคียงกันด้วยซ้ำ กินข้าวโต๊ะเดียวกันยังเคยบางคนกลับบ้านพร้อมกันอีกต่างหากแต่นั่นคือหน้าฉาก ลับหลังนินทากันเละต่อให้แผนกเดียวกันก็ตามอย่าได้พลาดแค่แต่งตัวแหวกแนวมาหน่อยโดนมองตั้งแต่ขึ้นบันได้ยันโต๊ะทำงานกันเลยทีเดียว
เล่ามาแบบนี้พอนึกภาพออกกันแล้วใช่ไหมแล้วคงสงสัยล่ะสิว่าทำไมเขาถึงอยู่กันได้ ก็เพราะเงินเดือนไงล่ะที่นี่จ่ายหนักพอสมควรแต่ละคนไม่มีต่ำกว่าหมื่นห้า ยกแว้นพวกพนักงานส่งของส่งเอกสารและคนขับรถที่จะต่ำกว่าแต่ก็อยู่ระดับหมื่นต้นๆ ซึ่งเพื่อนผู้เขียนทำงานที่อยู่เกือบ 4 ปีก่อนจะลาออก
รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมเพื่อนคนนี้ถึงทนทำอยู่หลายปีกับสภาพแวดล้อมที่ไร้ความจริงใจ และมีแต่คนชิงดีชิงเด่น ขี้นินทา และเรื่องที่เพื่อนเล่าให้ฟังก่อนถึงจุดที่ทำให้อยากลาออกคือ เริ่มทนไม่ไหวกับความไม่จริงใจของเพื่อนร่วมงานที่หลังๆเริ่มจะมากขึ้น พนักงานใหม่ๆที่เขามาก็ต้องลาออกไปอยู่ได้ไม่นานไม่ว่าจะแผนกไหนก็ตามซึ่งส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเบื่อที่จะทนกับการทำงานที่เห็นแก่ตัว และใส่ร้ายป้ายสีกันบ่อยๆ ซึ่งเพื่อนผู้เขียนเองก็โดนเพราะต้องประสานงานกับแต่ละฝ่ายตามที่เซลล์แต่ละคนสั่ง ซึ่งบางครั้งก็มีการแย่งสินค้ากันเองระหว่างเซลล์ ซึ่งเพื่อนผู้เขียนต้องมีหน้าที่เช็คสินค้าในแต่วันให้เซลล์ว่ามีของตามที่ลูกค้าออร์เดอร์มาหรือไม่หากมีก็ต้องจัดการทำบิลสั่งของให้ฝ่ายบัญชีเปิดบิลและตัดสต๊อกให้ ซึ่งแน่นอนว่าเซลล์หลายคนใครสั่งก่อนก็ได้ก่อน ใครแจ้งช้าหากของหมดหรือไม่พอก็ต้องรอสินค้าล๊อตใหม่ แต่ปัญหามันอยู่ที่เซลล์บางคนไปคุยกับฝ่ายบัญชีให้เปลี่ยนบิลโดยไม่แจ้งเพื่อนผู้เขียน ทำให้คนที่สั่งก่อนไม่ได้สินค้า และมันก็เกิดการวีนและทะเลาะกัน
ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนผู้เขียนไม่ผิดเพราะตอนที่ทำเอกสารเปิดใบสั่งของกับฝ่ายบัญชีไปนั่นมีหลักฐานเพราะที่ปรินท์ออกมาเก็บไว้แล้ว แต่นั้นก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแม้เรื่องวันนั้นจะจบลงที่ เซลล์คนนั้นและฝ่ายบัญชีคนที่รู้เห็นกันโดนนายฝรั่งทั้งสองคนต่อว่า แต่มันก็เท่านั้นเพราะเซลล์คนนี้เป็นคนทำยอดเยอะที่สุดในบริษัทนายไม่กล้าวีนทำให้หลังจากนั้น เซลล์คนี้ก็เบ่งคับบริษัท ใครขวางหูขวางตาก็โดนแขวะ โดนนินทา บางทีอยู่ต่อหน้าก็พูดดีคุยกันดี แต่พออีกวันเรื่องที่คุยออกจากปากไปนั้นรู้กันทั่วออฟฟิศ
เพื่อนผู้เขียนเองไม่รู้จะทำอย่างไร อาศัยความอดทนอดกลั้นก็แล้ว อยู่เฉยๆนิ่งๆไม่คุยกับใครก็ทำแล้ว ถามคำตอบคำก็ทำแล้ว ไม่ใส่ใจกับคำพูดคนทำงานในหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแต่ก็ยังไม่พ้นกับการใส่ร้ายบ้าง นินทาบ้างจนสุดท้ายเพื่อนเดินไปบอกนายฝรั่งอีกคนที่คุมฝ่ายขายว่า อยู่ไม่ไหวแล้วนะเจอแบบนี้เขามาทำงานเขาไม่ได้อยากมามีเรื่องกับใคร อยู่มาเกือบ 4 ปีเจอแต่แบบนี้เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว และยังบอกนายไว้อีกว่าที่พนักงานใหม่ๆมาแล้วอยู่ไม่ได้เพราะมันเป็นแบบนี้ ส่วนคนที่ลาออกไปก็เพราะเจอแต่เรื่องแบบนี้คนในออฟฟิศเอาแต่จะนินทาว่าร้ายกัน ขัดขากันเรื่องงานเขาขอลาออก เจ้านายคนนี้ก็ไม่อยากให้ออกเพราะเพื่อนผู้เขียนเองทำงานในระดับดีพอสมควรเรื่องงานไม่เคยมีปัญหา ซึ่งจริงๆแล้วเจ้านายคนนี้รู้ปัญหาดีแต่พูดอะไรไม่ได้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายใหญ่และนายใหญ่ก็บางทีชอบเข้าข้างคนโน้น เข้าข้างคนนี้ ทำให้เพื่อนผู้เขียนตัดสินใจลาออก
แต่ก่อนจะลาออกก็แอบหางานเอาไว้ ซึ่งก็ได้งานใหม่แถวๆบ้านเงินเดือนน้อยกว่าประมาณ 2,000 บาทแต่เพื่อนบอกว่าเทียบกับค่าใช้จ่ายแล้วถือว่าคุ้ม เพราะที่ใหม่อยู่ใกล้บ้านปั่นจักรยานไปทำงานได้ สบายกว่าเยอะและอีกอย่างคือไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปให้ทันเข้างานตอนนี้ตื่นสายได้กว่าเดิม ซึ่งเพื่อนผู้เขียนก็ทำงานที่นี่มาจนปัจจุบันนี้นับๆดูก็เกือบ 10 ปีแล้วสำหรับงานที่ใหม่ซึ่งก็คงทำไปจนกว่าจะเกษียณกันนั่นล่ะ