ก่อนที่เราจะเป็นเศรษฐี อย่างแรกเลยที่เป็นสิ่งพื้นฐานที่ควรจะมีก็คือ นิสัยรักการออม เพราะว่าการออมเงินนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่สามารถสร้างให้ใครหลายๆคนได้เป็นเศรษฐีกันแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การออมเงินก็เป็นเพียงสิ่งแรกที่จะช่วยทำให้ตัวบุคคลนั้น มีเงินทุนสักก้อนหนึ่งในการนำไปลงทุนเพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ยิ่งมีความสามารถในการออมเงินที่มาก ก็จะยิ่งมีเงินนำมาลงทุนที่มาก โอกาสความสำเร็จก็จะมากขึ้นเช่นกัน
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในเมื่อนิสัยการออมเงินเป็นพื้นฐานของการเป็นเศรษฐีแล้ว เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าต้องทำอย่างไร ที่ปลุก ความเป็นเศรษฐี ถึงจะทำให้เรามีจำนวนเงินออมที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเพื่อที่จะนำเงินไปลงทุน
-
รายได้เพิ่มขึ้น เงินออมก็เพิ่มขึ้น
เราทุกคนรู้ดีว่า ในการออมเงินแต่ละครั้งนั้น เราไม่สามารถออมเงินหรือเก็บเงินได้ทั้งหมด เงินที่เราได้มา เราก็ต้องมีการนำไปใช้ส่วนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นค่ากิน ค่าที่พัก จ่ายหนี้ต่างๆ และจ่ายเงินค่าอื่นๆอีกมากมายและเงินที่เหลือนี้ ก็จะกลายเป็นเงินออมของเรา
ถ้าหากว่าเราอยากมีเงินออมที่มากขึ้น สิ่งหนึ่งที่เราควรทำเลยก็คือการหารายได้ให้มีมากขึ้นกว่าเดิมแต่เรายังคงต้องจำกัดรายจ่ายไว้ที่เท่าเดิมด้วย สมมุติว่าในแต่ละเดือนของเรา เราได้รายรับมาทั้งหมด 5,000 บาทและมีรายจ่ายต่อเดือนคือ 4,000 สรุปแล้วในเดือนนั้นเราก็มีเงินเหลืออยู่ทั้งหมด 1,000 บาทและถ้าหากว่าเรามีรายรับที่เพิ่มขึ้นโดยที่รายจ่ายยังคงเท่าเดิม แน่นอนว่าเงินที่เหลือในแต่ละเดือนนั้น จะมีเหลือมากกว่า 1,000 บาทอย่างแน่นอน
-
หาเพิ่มกับยอมอด อันไหนง่ายกว่า
ในการเก็บเงินเพื่อซื้อของสักชิ้น ในวัยเด็กของใครหลายๆคนก็มักเลือกที่จะยอมอด อดข้าวกลางวัน อดค่าน้ำ อดค่าขนม ยอมไม่ใช้เงินไปกับรายจ่ายต่างๆเพื่อที่จะเก็บเงินให้ได้เท่ากับราคาสิ่งของที่ตัวเองอยากได้ แต่เมื่อเราโตขึ้นสามารถหางานทำได้แล้ว เราจะยังคงเลือกที่จะอดอยู่หรือเปล่าล่ะ
ถ้าเราต้องการมีเงินเก็บสัก 100 บาท อันไหนจะง่ายกว่ากันล่ะระหว่างอดออมเพื่อที่จะเก็บเงินให้ได้ 100 บาท กับพยายามจะหาช่องทางสร้างรายรับให้ตัวเอง เพื่อที่จะได้มาด้วย 100 บาท แน่นอนว่าใครหลายๆคนอาจจะเลือกที่จะอดออมเพื่อเงิน 100 บาท แต่ถ้าหากว่าเป้าหมายเงินเก็บของเราไม่ใช่ 100 บาทแต่กลับเป็น 1,000 บาทหรือ 10,000 บาทจนไปถึง 1 ล้านบาทล่ะ ถ้าเราเลือกที่จะอดออมแล้ว มันก็คงจะเป็นอะไรที่ลำบากไม่น้อยเลยกว่าจะอดออมจนมีเงินจนถึงตามจำนวนเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ ฉะนั้นแล้วการฝึกนิสัยหาเพิ่มให้กับตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่ดีและควรทำมาที่สุดนะ อีกทั้งในอนาคตเรายังสามารถเอาไปต่อยอดเพื่อสร้างรายรับให้ตัวเราเองได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วย
-
มีน้อยก็ออมน้อย
หลายๆครั้งที่เรามักจะใช้จ่ายเงินไปกับขนมหรือสิ่งของที่มีราคาเล็กๆน้อยๆไม่แพงมาก พร้อมกับคิดในใจกับตัวเองว่า แค่นิดเดียวไม่เป็นอะไรมากมาย ใช้เงิน 5 บาทซื้อขนมกับเก็บเงิน 5 บาทไว้ในกระเป๋าก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ รอให้มีเงินสักจำนวนหนึ่งก่อนค่อยเลือกที่จะเก็บเงินหรือออมเงิน ซึ่งความคิดเหล่านี้มันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นะ
ในเรื่องของการออมเงิน ถ้าเราคิดแบบนี้ โอกาสที่เราจะเผลอหยิบเงิน 5 บาทจากกระปุกออมสินหรือหยิบออกจากกล่องใส่เงินที่บ้าน ก็มีโอกาสที่สูงอย่างมากเลยล่ะเพราะว่าระหว่างที่หยิบนั้น ก็จะคิดในใจว่านิดเดียวเอง ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาเพิ่มใส่ใหม่ได้ ซึ่ง 5 บาทครั้งเดียว ไม่ค่อยกระทบกับเงินสักเท่าไหร่ แต่ถ้า 5 บาท 10 ครั้งล่ะ นั่นก็ 50 บาทเลยนะ ทางที่ดีแล้วเราควรจะปลูกฝังและเปลี่ยนความคิดตัวเองเสียใหม่ว่า มีน้อยออมน้อยดีกว่าไม่ออม
-
หาตัวช่วยในการออมเงิน
การเก็บเงิน เป็นสิ่งที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เพราะว่าความคิดของเรานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลาและบางครั้ง ยิ่งเรามีเงินเก็บที่มากขึ้น เราก็มักจะมีความคิดที่ว่าจะซื้อสิ่งไหนที่มากขึ้นเท่านั้น เพราะด้วยอำนาจการซื้อของเราที่มากขึ้นแน่นอน และถ้าหากว่าเราหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ เราก็อาจจะเผลอนำเงินเก็บ เงินออมที่มีอยู่ทั้งหมด ไปซื้ออะไรสักอย่างจนหมดก็ได้นะ ฉะนั้นแล้วการหาตัวช่วยในการเก็บเงิน จึงเป็นเรื่องที่ควรอย่างมากเลย
ตัวช่วยในการเก็บเงินหรือออมเงินนั้น คนจำนวนไม่น้อยก็มักจะนึกถึงสถาบันการเงินต่างๆอย่างเช่นธนาคาร และนึกถึงสมุดบัญชีเงินฝากหรือกองทุนและหุ้น ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้จะสามารถช่วยเราในเรื่องของการออมเงินได้อย่างดีเลยล่ะ และตัวช่วยในการออมเงินแต่ละแบบนั้น ก็เหมาะกับลักษณะการออมเงินที่แตกต่างกันไปด้วยนะ อย่างเช่นการเลือกที่จะฝากประจำที่มีดอกเบี้ยสูงๆ วิธีนี้เหมาะกับคนที่ไม่เดือนร้อนหรือรีบใช้เงินก้อนนั้นและต้องการที่ที่ปลอดภัยในการเก็บเงินเพื่อจะได้ใช้ในอนาคตอีกด้วย