รีไฟแนนซ์บ้าน ปิดหนี้บัตร ดีมั้ย คุ้มหรือไม่ เหมาะกับใคร
หนี้บัตรเครดิตเป็นหนึ่งในปัญหาหนี้ที่คนไทยจำนวนไม่น้อยประสบ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง และวงเงินที่จำกัด จึงทำให้เป็นหนี้ที่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง รวมถึงใช้เวลานานในการปิดหนี้ หลายคนจึงมองหาวิธีการรีไฟแนนซ์เพื่อแก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิต โดยการนำเงินจากแหล่งอื่นมาชำระเพื่อปิดบัญชีบัตรเครดิตทั้งหมด และผ่อนชำระหนี้รวมเป็นงวดเดียว ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้รับความสนใจคือการรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อนำเงินมาปิดหนี้บัตรเครดิต วันนี้เราจะมาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียว่า รีไฟแนนซ์บ้าน ปิดหนี้บัตร ดีมั้ย คุ้มหรือไม่ เหมาะกับใคร
รีไฟแนนซ์บ้าน คืออะไร
รีไฟแนนซ์บ้านหมายถึงการกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อมารีไฟแนนซ์หรือปิดบัญชีสินเชื่อเดิมที่เคยกู้มาเพื่อซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัย โดยใช้บ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน การรีไฟแนนซ์บ้านอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับลดภาระหนี้รายเดือน ขยายระยะเวลาชำระคืนที่นานขึ้น หรือปิดบัญชีกู้เงินเดิมแล้วรวมเป็นบัญชีใหม่
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อปิดหนี้บัตรเครดิต
- อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าบัตรเครดิต
ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้มาก สินเชื่อบ้านหรือสินเชื่อที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันจะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าบัตรเครดิตมาก ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตอยู่ที่ประมาณ 16-18% ต่อปี แต่สินเชื่อบ้านมีอัตราดอกเบี้ยเพียง 5-7% เท่านั้น ดังนั้นหากเรามีหนี้บัตรเครดิตหลายรายการและนำมารวมกันแล้วรีไฟแนนซ์ด้วยสินเชื่อบ้าน จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้เป็นอย่างมาก เป็นการประหยัดต้นทุนทางการเงิน
- ผ่อนชำระเป็นงวดเดียว จ่ายได้สะดวกกว่า
การรีไฟแนนซ์บ้านจะช่วยรวมหนี้บัตรเครดิตหลายบัญชีเข้าด้วยกัน ทำให้เราต้องผ่อนชำระเพียวงวดเดียวต่อเดือนแทนที่จะต้องแบ่งจ่ายหลายงวด ซึ่งจะช่วยให้เรามีภาระค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน สามารถวางแผนการเงินและบริหารจัดการหนี้ได้ง่ายขึ้น
- ระยะเวลาชำระหนี้ยาวนานขึ้น แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายรายเดือน
เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อปิดหนี้บัตรเครดิต ระยะเวลาชำระหนี้จะยาวนานขึ้นถึง 10-30 ปี แทนที่จะต้องชำระหนี้บัตรเครดิตให้หมดภายใน 1-3 ปี การชำระเป็นระยะยาวจะช่วยลดจำนวนเงินงวดที่ต้องจ่ายต่อเดือนให้น้อยลง ซึ่งเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายประจำเดือนได้อย่างมาก
ข้อเสียของการรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อปิดหนี้บัตรเครดิต
- มีความเสี่ยงที่อาจสูญเสียบ้าน
การรีไฟแนนซ์บ้านจำเป็นต้องจำนองบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน หากในอนาคตมีเหตุทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ธนาคารอาจยึดบ้านของเรา
- มีความเสี่ยงที่อาจสูญเสียบ้านหากผิดนัดชำระหนี้
เนื่องจากบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่นำมาจำนองเป็นหลักประกันนั้น ธนาคารมีสิทธิยึดไปเพื่อนำออกขายทอดตลาดได้ หากเราผิดนัดชำระหนี้เกินกำหนด ซึ่งนับเป็นความเสี่ยงร้ายแรง เพราะบ้านเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่อยู่อาศัยหลัก การสูญเสียไปถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่
- จ่ายดอกเบี้ยรวมในระยะยาวอาจสูงกว่าหนี้เดิม
แม้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านจะต่ำกว่าบัตรเครดิต แต่เนื่องจากระยะเวลาผ่อนชำระนานถึง 10-30 ปี จึงทำให้เราต้องจ่ายดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานาน เมื่อคิดเป็นจำนวนดอกเบี้ยรวมทั้งหมดอาจสูงกว่าหนี้บัตรเครดิตเดิมซะอีก นับเป็นการเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นในระยะยาว
- ค่าธรรมเนียมในการรีไฟแนนซ์ค่อนข้างสูง
การรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อกู้เงินใหม่นั้น ธนาคารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าประเมินหลักประกัน ค่าจดจำนอง ค่าธรรมเนียมการรีไฟแนนซ์ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้มักจะสูงพอสมควร บางครั้งอาจคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของวงเงินกู้ ทำให้ต้องมีเงินออกไปก้อนใหญ่เลยทีเดียว
- หนี้จะยาวนานขึ้นกว่าเดิม
การรีไฟแนนซ์บ้านมีระยะเวลาผ่อนนาน 10-30 ปี ถ้าหากเราอายุมากแล้วก็อาจจะต้องผ่อนไปจนแก่หรือถึงแก่กรรม หนี้ก็จะตกเป็นภาระให้แก่ทายาทหรือลูกหลานต่อไป นับเป็นการสร้างภาระให้คนรุ่นหลังด้วย จึงต้องคำนึงถึงประเด็นนี้ด้วย
รีไฟแนนซ์บ้าน ปิดหนี้บัตร ดีมั้ย
จากข้อดีและข้อเสียดังกล่าว การตัดสินใจว่าควรจะรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อปิดหนี้บัตรเครดิตหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา ดังนี้
- สถานะทางการเงินและแหล่งรายได้
จำเป็นต้องประเมินรายได้และแหล่งที่มาของรายได้ว่ามีความมั่นคงและเพียงพอต่อการผ่อนชำระในระยะยาวหรือไม่ เนื่องจากการผ่อนระยะยาวนั้นจำเป็นต้องวางแผนทางการเงินเป็นอย่างดี หากมีรายได้ไม่แน่นอนหรือไม่เพียงพออาจเกิดปัญหาผิดนัดชำระได้
- เปรียบเทียบดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ก่อนตัดสินใจควรคำนวณดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ต้องจ่ายทั้งหมด รวมถึงค่าธรรมเนียมในการรีไฟแนนซ์ เปรียบเทียบกับหากยังคงผ่อนบัตรเครดิตแบบเดิมจะต้องจ่ายเท่าไร หากคุ้มค่าและประหยัดกว่าจริง ๆ จึงควรดำเนินการ แต่ถ้ามีค่าใช้จ่ายสูงเกินความคุ้มค่าก็ควรหาวิธีอื่น
- พิจารณาทางเลือกอื่น ๆ ด้วย
นอกเหนือจากรีไฟแนนซ์บ้านแล้ว ยังมีทางเลือกอื่น ๆ ในการปิดหนี้บัตรเครดิต เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล การโอนหนี้ไปสถาบันอื่น หรือการปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเจ้าหนี้เดิม เราควรเปรียบเทียบดูว่าวิธีไหนเหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด
- ความพร้อมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงิน
สุดท้ายหลังจากได้ทางออกจากปัญหาหนี้แล้ว จำเป็นต้องมีวินัยและควบคุมการใช้จ่ายเงินให้ดี มิฉะนั้นปัญหาหนี้สินก็อาจหวนกลับมาใหม่ การรีไฟแนนซ์เป็นเพียงการแก้ปัญหาหนี้เฉพาะหน้าเท่านั้น แต่หากเรายังใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว ไม่วางแผนทางการเงิน หนี้ใหม่ ๆ ก็จะเกิดขึ้นอีก
การรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อปิดหนี้บัตรเครดิตนั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า การผ่อนชำระเป็นงวดเดียว และระยะเวลาผ่อนที่ยาวนาน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่ก็มีข้อเสียคือความเสี่ยงที่อาจจะเสียบ้าน ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยรวมสูงในระยะยาว ค่าธรรมเนียมการรีไฟแนนซ์สูง และหนี้อาจตกเป็นภาระของคนข้างหลัง
สรุปแล้วการรีไฟแนนซ์บ้าน เพื่อนำเงินก้อนมาปิดหนี้บัตรเครดิต จะดีหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะสถานะทางการเงิน การคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เปรียบเทียบกับวิธีอื่น และความพร้อมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินให้ดีขึ้น หากเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว ก็จะช่วยแก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิตได้อย่างยั่งยืน เป็นจุดเริ่มต้นการวางแผนทางการเงินที่ดี และมีวินัยขึ้นในอนาคตได้นั่นเอง