ภาษีสังคม เป็นศัพท์เทคนิคใหม่ที่เข้าใจกันดีในหมู่คนไทยว่าภาษีสังคมหมายถึงรายจ่ายเพื่อการเข้าสังคม นี้คือคำจำกัดความของความหมายคำว่าภาษีสังคมครับ ผมคิดว่าด้วยสภาวะสังคมของเราเป็นสังคมอุปถัมภ์คือต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใครช่วยเรามาเราต้องช่วยเหลือกลับไปและร่วมทั้งความขี้เกรงใจทำให้หลายคนเจอปัญหาว่าภาษีสังคมกลายเป็นศัตรูของการออมไป เพราะภาษีสังคมมีหลายรูปแบบทำให้เงินส่วนนี้หายไปแทนที่จะกลับมาเป็นเงินออม และเมื่อเราได้คิดทบทวนจริงๆ แล้วเราอาจพบว่าภาษีสังคมที่เราจ่ายไปอาจได้ไม่คุ้มค่านัก
และความจริงแล้วเราแทบที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยแต่เราก็มีวิธีที่สามารถลดภาษีสังคมให้เหลือจ่ายเท่าที่จำเป็นได้ครับ
หยุดความเกรงใจ
เพราะปัจจุบันมีการแจกซองสารพัด ทั้งงานบวช งานแต่ง หากเราได้รับซองไม่พร้อมกันยังพอไหวแต่หากได้ซองพร้อมๆ กันละ? การได้มาแล้วไม่ใส่ซองช่วยกลับไปมันแย่ยิ่งกว่าการใส่ซองด้วยจำนวนเงินที่น้อยเสียอีก เราจึงควรคิดให้ดีครับว่างานไหนและจะช่วยใครอย่างไรดี หากไม่ไหวแนะนำให้บอกไปตรงๆ ครับเพราะบางครั้งคนที่อยากให้เราช่วยก็ขอบ่อยจนเกินกำลังของเรา เช่น แจกซองงานแต่งลูกอาทิตย์นี้อาทิตย์หน้ามีซองผ้าป่ามาให้เราช่วยอีก 2 ซอง ซองกรรมการเลยครับขั้นต่ำ 100 บาทซะด้วย ฉะนั้นควรหยุดความเกรงใจครับช่วยเท่าที่เราช่วยได้หากคุณค่าแรง 300 บาทต่อวันเจอไปซักเดือนละ 3 ซอง คุณอาจจะได้บุญครับแต่เงินออมไม่มีแน่
รู้จักปฏิเสธ
ในหลายๆ ครั้งงานการเข้าสังคมต้องมีอย่างน้อยก็ทุกวันที่เงินเดือนออก งานสรรสันต์ บางครั้งอาจเป็นแค่ร้านหมูกระทะหนักขึ้นมาหน่อยก็บุฟเฟ่ในห้างและหนักที่สุดคือดื่มเหล้า แล้วแต่ว่าสังคมที่เราอยู่เป็นแบบไหน ซึ่งหากมีเพื่อนร่วมงานมาชวนดื่มเหล้าบ่อยๆ แน่นอนย่อมไม่ดีแน่ครับ แต่หากคุณเป็นนักดื่มอยู่แล้วผมว่าเดือนละ 1-2 ครั้ง ถือว่าปกติครับ แต่หากมากกว่านั้นผิดปกติแน่นอน ซึ่งก็ไม่ใช่ที่ทุกคนจะคิดแบบเราบางครั้งเราจึงจะต้องรู้จักการปฏิเสธครับ การปฏิเสธในบางครั้งไม่ใช่เรื่องน่าอาย เพราะเราเองก็ต้องมีเวลาให้กับครอบครัวหรือกับเพื่อนฝูงที่อยู่นอกเหนือจากสังคมสังคมการทำงาน แต่ขอให้การปฏิเสธเป็นการปฏิเสธที่หนักแน่นและจริงใจไม่โกหกกัน เช่น ต้องพาพ่อแม่ไปทานข้าววันนี้พอดี หรือวันนี้ติดธุระนัดแฟนไว้และของแก้ตัวงานสรรสันต์ในโอกาสหน้าแทน ผมว่าไม่มีเพื่อนร่วมงานคนไหนเซ้าซี้ลากคุณไปให้ได้อย่างแน่นอนเมื่อเรากล้าที่จะปฏิเสธอย่างหนักแน่นและจริงใจ
อย่างหน้าใหญ่
เราไม่จำเป็นต้องหน้าใหญ่ใจโตครับเพราะการที่จะให้เพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนฝูงนับหน้าถือตาในความร่ำรวยของเรานั้นไม่มีประโยชน์เลย และเราก็ต่างทำงานเพื่อแลกเงินมาเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ การหน้าใหญ่ใจโตโดยใช้เงินเพื่อให้คนนับหน้าถือตาเมื่อถึงคราวที่เราไม่มีเงินล่ะจะทำอย่างไร? คุณจะกล้าปฏิเสธไหม ? เพราะในหลายๆ ครั้งความหน้าใหญ่ใจโตอาจทำให้คุณเกิดปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออกซะเอง ผมมองว่าจ่ายแต่พอดีไม่เอาเปรียบกันดูจะยั่งยืนกว่านะครับ
กำหนดวงเงินภาษีสังคม
เราควรทำการกำหนดครับว่าเราจ่ายได้มากที่สุดเท่าไรและเราควรตั้งเป้าหมายไว้เลยครับว่าแต่ละเดือนเราจะไม่จ่ายเกินกว่านี้ เพราะแต่ละคนจ่ายภาษีสังคมตรงนี้ได้ไม่เท่ากันบางคนสามารถจ่ายได้มากเพราะรายได้สูงชอบสังคม แต่บางคนรายได้อาจไม่มากนักและมีรายจ่ายอื่นๆ ในครอบครัวมากกว่า การกำหนดเลยจะทำให้เรารู้ว่าเราต้องจ่ายทั้งหมดเท่าไรในแต่ละเดือน และที่สำคัญอย่าลืมจดนะครับว่าจ่ายภาษีสังคมไปเดือนละเท่าไร แล้วหากคิดว่ายุ่งยากเราลองจดไว้กับปฏิทินก็ได้ครับแล้วสิ้นปีแล้วมาลองดูกันว่าภาษีสังคมกับภาษีเงินได้อันไหนมากกว่ากัน