คนที่มีประสบการณ์ในการเล่นหุ้นในตลาดหุ้นไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นเมืองไทยหรือตลาดหุ้นที่ไหนก็จะทราบเป็นอย่างดีว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีความเสี่ยงมากขนาดไหน ทั้งนี้ก็เนื่องจากตลาดหุ้นมีความผันผวนมาก เรามีโอกาสที่จะกำไรหรือขาดทุนได้มากกว่าการลงทุนประเภทอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินกับธนาคาร การซื้อประกันชีวิต การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้ระยะสั้นระยะยาว เรียกง่าย ๆ ว่าสามารถสร้างคนรวยในชั่วข้ามคืนและก็สามารถทำให้คนล้มละลายในพริบตาได้เหมือนกันหากว่าเราไม่มีความรู้ ไม่วางแผนการลงทุนหรือจัดการเงินทุนให้ดี
วันนี้เราจะมาลองเปรียบเทียบกันแบบหนัก ๆ ไปเลยว่า ลงทุนในหุ้นตัวไหนเจ๋ง ตัวไหนเจ๊ง เอาให้เห็นภาพกันไปเลยว่าในตลาดหุ้นถ้าเลือกหุ้นได้ถูกตัว เราจะไปได้ไกลขนาดไหน หุ้นที่มีความเสี่ยงมากเกินไปหากเราเลือกมีอยู่ในพอร์ตเราก็จะชีช้ำขาดทุนป่นปี้แน่นอน
เริ่มกันแบบให้เห็นด้านสว่างของตลาดหุ้นกันก่อนดีกว่าก่อนที่จะไปเศร้ากับอีกด้าน เป็นที่ทราบกันดีถึงจุดสูงสุดของตลาดหุ้นไทยเราที่สามารถวิ่งขึ้นไปแตะที่ 1,600 จุด ได้ถึง 3 ครั้ง ในช่วงปลายปี 2557 ถึงต้นปี 2558 ก่อนที่จะมาร่วงถึง 1,250 จุด ในช่วงปลายปี 2558 และค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาอีกรอบจนถึงประมาณ 1,400 จุด ในปัจจุบันเมื่อเดือนมีนาคม 2559 ที่ผ่านมา เป็นเรื่องปกติเมื่อตลาดหุ้นตกลง หุ้นส่วนใหญ่ก็จะมีราคาลดลงไปด้วย เมื่อตลาดหุ้นขึ้น หุ้นส่วนใหญ่ก็จะมีราคาเพิ่มขึ้นไปด้วย ผู้ชนะในตลาดหุ้นก็คือ ผู้ที่สามารถหาหุ้นตัวที่ราคาเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดหุ้นรวมขึ้น หรือจะเป็นหุ้นที่ราคาลดลงน้อยกว่าที่ตลาดโดยรวมลง หากเราเป็นเจ้าของหุ้นที่ว่าก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการสามารถเอาชนะตลาดได้ คือ กำไรมากกว่าตลาดและขาดทุนน้อยกว่าตลาด ถือว่าเจ๋งนะ
แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีหุ้น 10 ตัวที่ถือว่าโคตรเจ๋งไม่เพียงแต่ชนะตลาดอย่างที่บอกข้างต้น แต่ยังสามารถวิ่งสวนตลาดได้ด้วย เป็นหุ้นที่ถึงแม้ซื้อในช่วงที่ตลาดหุ้นขึ้นสูงสุดที่ 1,600 จุด และถือมาจนถึงปัจจุบันก็ไม่ขาดทุนเพราะราคายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสวนทางกับตลาด มาดูจากกระทู้นี้กัน http://pantip.com/topic/35043221 ว่ามีหุ้นตัวไหนบ้างที่ถือว่าโคตรเจ๋ง โดยจะขอยกมาที่นี้ 5 ตัว ด้วยกัน
- AOT บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาด แทบไม่มีคู่แข่งเลย การเดินทางโดยเครื่องบินอย่างไรเสียก็ต้องใช้บริการของสนามบินดอนเมืองหรือสนามบินสุวรรณภูมิแน่นอน แถมการท่องเที่ยวไทยที่เป็นนิยมเดินทางมาของนักท่องเที่ยวมากขึ้น ก็ยิ่งทำกำไรให้กับสนามบินได้มากขึ้นด้วย
- PTG บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หุ้นตัวนี้ที่สามารถยืนหยัดราคาอยู่ได้ เป็นเพราะผลกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
- IRPC บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หุ้นตัวนี้ถือเป็นสุดยอดหุ้น Turnaround ที่ถือว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาทำกำไรได้ในที่สุด จากนี้ไปก็ถือว่าอนาคตค่อนข้างสดใส
- BH โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หุ้นตัวนี้ก็ถือเป็นสุดยอดหุ้นตัวหนึ่งของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลเลยทีเดียว เนื่องจากมีกำไรเติบโตแบบแข็งแกร่งหลัก ๆ จากผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศและอยู่พักรักษาตัวเป็นระยะเวลานาน คาดว่าแนวโน้มจะยังดีแบบนี้ต่อเนื่องไปในอนาคตด้วย
- DELTA บริษัท เดลต้า อิเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นมานาน มีความแข็งแกร่งมาก มีฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ทั่วโลก
คราวนี้ถึงเวลาของด้านมืดของตลาดหุ้นกันบ้างกับรวมมิตร 10 หุ้นโหด ปี 2557-2559 ในกระทู้ https://thailandinvestmentforum.com/2016/03/26/10shocks/ นี้กัน เป็นหุ้นที่เรียกได้ว่าฟ้ากับเหวกับหุ้นด้านบน พอตลาดหุ้นค่อย ๆ ปรับตัวลง หุ้นเหล่านี้เรียกว่าดิ่งลงเหวก่อนเลย มีตัวไหนบ้างมาดูกัน
- ABC Asset Bright เคยอยู่ที่ 5 สตางค์ วิ่งสูงสุดที่ 2.60 บาท แล้วร่วงมาอยู่ที่ 40 สตางค์ คิดดูว่าถ้าเราเข้าไปซื้อตอน 2.60 บาท ดอยเต็ม ๆ ป่านนี้ยังหาความแน่ชัดไม่ได้ว่า ABC ทำธุรกิจอะไรกันแน่
- UWC Ua Withya อันนี้ดอยชันกว่า ABC อีก เคย 10 สตางค์ วิ่งไปที่ 3 บาท แล้วร่วงมากองแถว 18 สตางค์ เรียกได้ว่าหากใครขายไม่ทันก็ไม่รู้จะร้องไห้กี่รอบดี
- AJD Crown Tech Advance หุ้นรถไฟเหาะอีกตัว AJ DVD พาเหาะไปแตะเกือบ 5 บาท แล้วก็รวดลงมาแถว 1 บาท
- SSI Sahaviriya Steel Industries อันนี้เรียกได้ว่าเป็นตำนาน หลังจากผลประกอบการขาดทุนอย่างหนัก หุ้นก็ร่วงจาก 40 สตางค์ ลงมาเหลือแค่ 3 สตางค์ และก็ไม่ไปไหนอีกเลย ช่วงที่หนักที่สุดก็เป็นช่วงกลาง ๆ ปี 2558 ที่ร่วงลงมาเกือบ 20 สตางค์ ในช่วงเวลาแค่ 2 เดือน
- TTA Thoresen Thai Agencies เคยมีจุดสูงสุดช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลกไปถึง 40 บาท แต่ภายหลังเมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มถดถอย มีผลกับค่าระวางเรือ ราคาหุ้นจาก 27 บาท ก็ไหลมาอยู่ที่ 7 บาท ในช่วงเวลาแค่เพียงปีกว่า ๆ เท่านั้น
จากการเปรียบเทียบเราจะเห็นว่าโอกาสของหุ้นที่สามารถยืนหยัดและทำกำไรให้กับเราได้นั้น พื้นฐานต้องเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่พอสมควร การทำธุรกิจต้องเข้าใจได้ง่าย มีการวิเคราะห์ได้ว่ากำไรขาดทุนของบริษัทมาจากอะไร ถ้าเป็นบริษัทที่มีคู่แข่งน้อยมีผลิตภัณฑ์ที่ดีถือว่าน่าลงทุน ยิ่งหากผลวิเคราะห์การเติบโตของกำไรแข็งแกร่งและมีแนวโน้มดีต่อเนื่องก็ยิ่งน่าลงทุน แม้แต่ตลาดหุ้นตกลงแต่หุ้นเหล่านี้ก็ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนหุ้นที่มีความเสี่ยงมากมีโอกาสที่จะร่วงหนักเมื่อตลาดหุ้นตกมักเป็นหุ้นตัวเล็ก ๆ มีเป้าในการทำธุรกิจที่ไม่ชัดเจนเข้าใจได้ยาก และการที่ราคาหุ้นต่ำ ๆ เป็นหลักสตางค์หรือแค่ไม่กี่บาทก็มีโอกาสที่เจ้าใหญ่ในตลาดจะเข้ามาทำตลาดได้ การซื้อขายล็อตใหญ่ ๆ ก็มีโอกาสทำให้ราคาของหุ้นตัวเล็กแบบนี้เปลี่ยนแปลงไปได้มาก รวมถึงหุ้นที่มีข่าวไม่ดี หุ้นที่มีผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจและไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็ว ทีนี้เราก็พอจะมีแนวทางแล้วว่าเราควรเลือกลงทุนแบบเจ๋งหรือแบบเจ๊งกันดี